29 มิถุนายน 2553

กะเม็ง

กะเม็ง หรือกะเม็งตัวเมีย มีชื่อเรียกแตกต่างกันหลายชื่อ ขึ้นกับแต่ละท้องถิ่น เช่น ทางภาคเหนือ เรียกว่า ฮ่อมเกี้ยว ทางพายับ เรียก หญ้าสับ จีน เรียก บั้งกีเช้า ทางภาคกลาง เรียก กะเม็งตัวเมีย

กะเม็งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Eclipta prostrata Linn. ในวงศ์ Compositae ซึ่งเป็นพืชในวงศ์เดียวกับ ทานตะวัน และดาวเรือง

กะเม็ง เป็นพืชขนาดเล็ก เป็นพืชที่ขึ้นเองตามริมทาง ที่ชื้นแฉะ และที่รกร้างทั่วไป อาจมีการเพาะปลูกไว้เพื่อใช้เป็นยา กระเม็งมีลำต้นอวบ เลื้อยแผ่บนดิน ปลายยอดมักตั้งขึ้นตรง ใบออกตรงข้าม มีลักษณะเรียว ยาวประมาณ 4-10 ซม. และกว้าง 0.8-2 ซม. ถ้าเกิดในที่ชุ่มชื้น มีน้ำมากใบก็ใหญ่ เกิดในที่แห้งแล้ง ใบจะเล็ก ฐานใบมีลักษณะเป็นรอยเว้าเข้า และบานออกเล็กน้อยทั้งสองด้าน ปลายค่อนข้างแหลม ขอบใบมีรอยหยักตื้น ๆ ทั้งสองด้าน มีขนสั้น ๆ สีขาว กะเม็ง ออกดอกเป็นช่อ จากซอกใบ หรือที่ยอดเป็นกลุ่มแน่นสีขาว ขอบของช่อดอก มีดอกย่อยคล้ายลิ้นเรียงตัวเป็นรัศมีสีขาวชั้นเดียว มีกลีบเลี้ยงสีเขียวรองรับช่อดอก 5-6 กลีบ ผลมีสีเหลืองปนดำ เมื่อขยี้ดูจะมีน้ำสีดำออกมา

การเก็บกะเม็งมาใช้เป็นยานั้น จะเก็บมาใช้ทั้งต้นในขณะที่ต้นเจริญเต็มที่ กำลังออกดอก เมื่อเก็บมาแล้ว ควรล้างดินออกให้สะอาด หั่นเป็นท่อนหรือชิ้นเล็ก ๆ ตากหรือผึ่งให้แห้ง เก็บไว้ในที่แห้งและเย็น เพื่อใช้เป็นยา ลักษณะของยาแห้งที่ดี ควรมีสีเขียว ไม่มีเชื้อรา และสิ่งอื่นเจือปน

สำหรับสรรพคุณทางยาของกะเม็งนั้น มีหลายประการด้วยกัน กะเม็งมีรสเปรี้ยว ชุ่มเย็น ใช้เป็นยาห้ามเลือด บำรุงไต แก้บิด ถ่ายเป็นมูกเลือด แก้ลำไส้อักเสบ ตับอักเสบเรื้อรัง โรคผิวหนังผื่นคันจากการทำนา และรักษาผมหงอกก่อนวัย

วิธีและปริมาณที่ใช้ของกะเม็งนั้น จะใช้ทั้งต้นแห้ง 10-30 กรัม ต้มเอาน้ำกิน หรือจะนำมาบดเป็นผง ทำเป็นยาเม็ดลูกกลอน หรือกินเป็นผงก็ได้

รายละเอียดของวิธี และปริมาณที่ใช้ของกะเม็ง ในการนำมารักษาโรคต่าง ๆ จะเป็นดังนี้
1. ใช้เป็นยาห้ามเลือด ใช้ต้นสด ตำพอก หรือใช้ต้นแห้ง บดเป็นผง โรยที่แผล
2. แก้บิดถ่ายเป็นมูกเลือด ใช้ต้นแห้ง 30 กรัม หรือ ต้นสด 120 กรัม ต้มน้ำกินติดต่อกัน 3-4 วัน
3. แก้โรคผิวหนังผื่นคันจากการทำนา ใช้น้ำคั้นจากใบสดทาบริเวณมือและเท้า
ปล่อยให้แห้งก่อนและหลังการลงไปทำนา เป็นการป้องกันมือและเท้าเปื่อย แต่ถ้ามือและเท้าเปื่อย จากการทำนาแล้ว ก็สามารถใช้น้ำคั้นจากใบทารักษาได้ โดยทาวันละ 2 ครั้ง จนกว่าจะหาย
4. แก้ผมหงอกก่อนวัย ใช้น้ำคั้นจากต้นเคี่ยวกับน้ำมันงา หรือน้ำมันมะพร้าวทา
ศีรษะจะทำให้ผมดกดำ และแก้ผมหงอกก่อนวัย

มีรายงานการวิจัยพบว่า กะเม็ง สามารถแก้ความเป็นพิษที่ตับ ที่เกิดจากการทำให้เซลล์ตับเป็นพิษ ด้วยสารพิษบางชนิดได้ผลดี มีรายงานว่า กะเม็ง มีฤทธิ์แก้ไข้ และแก้แพ้ในหนูถีบจักร และหนูขาวอีกด้วย ดังนั้น จึงเป็นข้อมูลที่ยืนยันได้ว่า กะเม็ง สามารถนำมาใช้ในการรักษาตับอักเสบ และโรคผิวหนังผื่นคันได้เป็นอย่างดี

ชาวจีนได้นำกะเม็งมาใช้ในการแก้ผมหงอกก่อนวัย และทำให้ผมดกดำมาเป็นเวลานาน และยังใช้จนมาถึงปัจจุบันนี้ นอกจากนี้แพทย์แผนไทยในชนบท ยังได้นำกะเม็งมาใช้เป็นยาบำรุงเลือดอีกด้วย จะเห็นได้ว่า กะเม็ง จัดเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์มากมาย

สรุป

กะเม็ง เป็นพืชล้มลุก พบขึ้นตามที่รกร้าง และที่ชื้นแฉะทั่วไป กะเม็งเป็นยาสมุนไพรที่ใช้กันมานาน มีประโยชน์ทางยามากมาย สามารถนำมาใช้ในการรักษาโรคตับอักเสบ โรคผิวหนังผื่นคันจากการทำนา และรักษาผมหงอกก่อนวัย ทำให้ผมดกดำ มีรายงานการวิจัยพบว่า กะเม็งสามารถแก้ความเป็นพิษต่อตับที่เกิดจากสารพิษได้ดี มีฤทธิ์แก้ไข้และแก้แพ้ในหนูถีบจักร และหนูขาว ดังนั้น จึงเป็นข้อมูลที่ช่วยสนับสนุนในการใช้กะเม็ง เพื่อรักษาโรคตับอักเสบและโรคผิวหนังผื่นคัน
จาก http://herbal.pharmacy.psu.ac.th/Article/10-44/Eclipta.htm

22 มิถุนายน 2553

ชาดำ

ชาดำ (Black Tea) ประเทศที่มีการผลิตชาดำคือจีน อินเดีย ศรีลังกา นิยมดื่มเพื่อเติมความกระปรี้กระเปร่าในยามเช้าของวัน เพราะในชาดำจะมีสารกาเฟอีนที่ทำให้รู้สึกสดชื่น พร้อมช่วยกระตุ้นระบบกล้ามเนื้อหัวใจ และการไหลเวียนของโลหิต ชาดำที่นิยมดื่มกันมี 2 ประเภท คือ 'ชาอัสสัม' จากประเทศอินเดีย และ 'ชาปู่เอ๋อ' จากประเทศจีน ในการดื่มชาดำนั้นนิยมนำมาผสมกับสมุนไพรและดอกไม้อื่นๆ กลายเป็น ชาเอิร์ลเกรย์ (Earl Grey) ชาอิงลิช เบรกฟัสต์ (English Breakfast) และชามาร์โค โปโล (Marco Polo) เป็นต้น

http://bangkokbiznews.com/jud/taste/20070701/news.php?news=column_23499745.html

ชาขาว

ชาขาว (White Tea)
นาน แสนนานมาแล้ว จักรพรรดิจีนแห่งราชวงศ์ Song ทรงพระเกษมสำราญอยู่กับรสชาติและกลิ่นหอมรื่นชื่นใจของ Silver Tip White Tea เครื่องดื่มมหัศจรรย์สูงค่านี้มีประสิทธิภาพในการขับไล่ความเหนื่อยอ่อน และให้ความสดชื่นรื่นเริงใจพร้อมทั้งกระตุ้นความเข้มแข็งให้กลับคืนมา หลายคนอ้างว่ามันเป็นเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมสำคัญของน้ำอมฤตที่ดี่มแล้ว เป็นอมตะ
ในปัจจุบัน ชาชนิดนี้ รู้จักกันในชื่อของหยินเซน (เข็มเงิน) แหล่งผลิตปลูกกันกว้างขวางในประเทศจีน บนภูเขาสูงแห่งจังหวัดฟูเจี้ยน มันจะถูกเก็บเป็นเวลาสองสามวันสั้น ๆ ในแต่ละฤดูใบใม้ผลิเมื่อช่อสีขาวเพิ่งจะผลิออกมา เฉพาะใบที่อ่อนที่สุดที่ยังปกคลุมด้วยปุยขนอ่อนสีขาวเท่านั้นที่จะถูกเก็บ จะต้องเก็บเกี่ยวยอดอ่อนๆจากแต่ละต้นด้วยมือเปล่าถึง 80,000 ยอดจึงจะสามารถนำมาผลิตเป็นชากลิ่นหอมได้น้ำหนัก 1 ปอนด์ หลังจากนั้นใบชาจะถูกนำไปตากแห้งในแสงอาทิตย์ธรรมชาติ ขั้นตอนง่ายๆ ดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ White Tea แตกต่างจากชาประเภทอื่น และยังเป็นการรักษาคุณประโยชน์นานาประการมิให้
สลายไปกับกรรมวิธีของมนุษย์

ประโยชน์
ใน ปัจจุบันนี้ สารเคมีธรรมชาติที่เรียกว่า Polyphenols เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นแอนติออกซิเดนท์เข้มข้น สารเคมีธรรมชาติที่ทรงพลังนี้จะช่วยพัฒนากระบวนการป้องกันสารพิษในร่างกาย และยับยั้งอนุมูลอิสระที่มีปฏิกิริยาต่อต้านร่างกายPolyphenols พบกันทั่วไปในชาหลายประเภทรวมทั้งชาเขียว แต่จากขั้นตอนการปรุงชาที่ต้องทำให้ชาแห้งและผ่านขั้นตอนการให้ความร้อน ทำให้ Polyphenols จำนวนมากสูญสลายไป แต่ Polyphenols ยังคงมีอยู่ใน White Tea ด้วยเหตุผลสองประการ
1. White Tea มาจากช่อใหม่ของต้นชาซึ่งมีพลังงานอยู่ในระดับศักยะภาพสูงสุด
2. หลังจากการเก็บใบชา White Tea จะไม่มีการม้วนหรือให้หมัก แต่จะปล่อยให้แห้งไปเองโดยแสงอาทิตย์ตามธรรมชาติ นักวิจัยคาดการณ์ว่าขั้นตอนที่กระชับที่สุดเหล่านี้เองที่ช่วยรักษาให้ White Tea มีความบริสุทธิ์กว่าและอยู่ในสภาวะมีพลังงานมากกว่า White Tea มีคุณค่าของแอนติออกซิเดนท์มากกว่าชาเขียวถึงสามเท่า White Tea ยังป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกายมากกว่าชาเขียวถึงสิบเท่า และความสามารถในการปกป้องผิวก็ยิ่งสูงกว่าด้วยเช่นกัน
การชงและการเสิร์ฟ
เมื่อ ต้องการจะดื่มชาให้ตักใบชาใส่ช้อนจำนวนสองช้อนโต๊ะ แต่ละช้อนจะมีปริมาณชาพอที่ชงใส่ถ้วยขนาด 8 ออนซ์ จากนั้นนำไปใส่เครื่องกรอง ให้กรองประมาณ 4-5 นาทีผ่านน้ำร้อนสะอาดที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเดือด Silver Tip White Tea มีรสชาติในตัวอยู่แล้วซึ่งไม่จำเป็นต้องเติมน้ำตาล นม หรือมะนาว แต่อย่างใด ชาที่มีราคาสูงนี้มีแอนติออกซิเดนท์ปริมาณมากอยู่แล้วโดยธรรมชาติ และยังมีคาเฟอีนต่ำอีกด้วย

ปัจจุบันนี้คนไทยเรามีการนิยมดื่มชากัน มากขึ้นเพราะเชื่อว่า จะเป็นผลดี และเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ จนกระทั่งมีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับชาหลายชนิดให้เลือกจนเลือกกันไม่ถูก ทั้งที่เป็นเครื่องดื่ม หรือการนำชาเขียวเป็นส่วนผสมใส่ในอาหารต่างๆ เช่น เค้ก ไอศกรีมชาเขียว นมชาเขียว ขนมปังชาเขียว หรือแม้แต่ในเครื่องสำอาง วันนี้เราลองมาดูกันเกี่ยวกับเรื่องชาว่าเป็นอย่างไรกัน ชาวจีนเป็นชนชาติแรกที่มีการดื่มชากันและต่อมาก็มีการแพร่หลายไปสู่ประเทศ ทางตะวันตกมากขึ้น และมีประวัติศาสตร์บางส่วนที่ชาทำให้เกิดสงครามขึ้นระหว่างจีนกับอังกฤษ และสงครามอิสระภาพระหว่างอังกฤษ และอเมริกา

ชาทุกชนิดจะทำมาจากต้น ชาที่มีชื่อว่า Camellia sinensis ส่วนชื่อที่เรียกต่างกันนั้นเนื่องจากขบวนการผลิตภัณฑ์ใบชาที่ต่างกัน การทำชาเขียว (green tea) นั้นจะเอาใบชามาอบ (steam) และทำให้แห้ง (dry) ซึ่งเป็นขบวนการที่ยังทำให้ใบชามีสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) พวก โพลีฟีนอลส์ (polyphenols) อยู่ ส่วนชาดำ (black tea) นั้นจะผ่านขบวนการอ็อกซิเดชั่น (oxidation) ต่อไปทำให้มีการลดลงของสารต้านอนุมูลอิสระ ส่วนชาอูหลง (Oolong) จะผ่านขบวนการผลิตที่อยู่ระหว่างชาเขียว และชาดำทำให้รสชาติ กลิ่น สารต้านอนุมูลอิสระอยู่ระหว่างชาเขียว และชาดำด้วย ส่วนชาขาว (white tea) นั้นผลิตจากประเทศจีน ที่มีขบวนการผลิตที่น้อยลงทำให้มีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาเขียว เวลาชงจะได้สีออกจางๆ และรสชาติที่นุ่มนวล ส่วนที่ได้ยินคำว่า "ชาแดง" (red tea) นั้นก็มีความหมายหลายอย่างเหมือนกัน เป็นภาษาที่มาจากภาษาจีน ซึ่งตรงกับความหมายทางตะวันตกว่า ชาดำ (black tea) หมายถึง ชาอูหลง ดังที่ผมกล่าวข้างต้น หมายถึง "ชา" ที่ได้จากพืช Aspalanthus linearis ในอเมริกาตอนใต้ ซึ่งจะเห็นว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่ชาเพราะชาที่แท้จริง (real tea) ต้องได้จากพืช Camellia sinesis ซึ่งชาแดงชนิดนี้จะไม่มีคาเฟอีนและ แทนนิน (tannins) ปัจจุบันมีคนพยายามอ้างว่าเป็นน้ำดื่มสุขภาพ (health beverage) แต่ยังมีการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่น้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับชาเขียว

มีสารอะไรบ้างในชา
สาร คาเฟอีน (caffeine) สารตัวนี้เป็นที่ถกเถียงกันในวงการแพทย์ว่ามีประโยชน์ หรือ โทษกันแน่ แต่โดยทั่วไปยอมรับกันว่าถ้าดื่มไม่เกินวันละ 200 มิลลิกรัม ก็ไม่มีผลเสียอะไร ซึ่งในปริมาณนี้จะเท่ากับการดื่มกาแฟประมาณวันละ 2 ถ้วย (ถ้วยละประมาณ 8 ออนซ์) เท่ากับชาวันละประมาณ 5 ถ้วย (ใบชาจะมีคาเฟอีนประมาณ 30-40% ของกาแฟ) สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของต่างๆ ตัวที่สำคัญคือ กลุ่มโพลีฟีนอลส์ (polyphenols) ที่เด่นๆ คือ epigallocatechin-3-gallate (EGCG หรือ catechins) ประโยชน์ของสารต้านอนุมูลอิสระนั้นมีมากมายตั้งแต่การป้องกันการเกิดโรค ต่างๆ จนถึงมะเร็ง สารแทนนิน (tannin) ซึ่งช่วยในการบรรเทาอาการท้องเสีย ควรต้มหรือแช่ชานานๆ เพื่อให้ได้สารแทนนิน แร่ธาตุอื่นๆ
เช่น ฟลูออไรด์ วิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 และอื่นๆ อีกหลายชนิด

ใครบ้างที่ควรระวังในการดื่มชา
โดย ปกติแล้วถือว่าชาเป็นเครื่องดื่มที่มีความปลอดภัยสูง ยกเว้นในบางคนที่อาจโดนกระตุ้นด้วยสารคาเฟอีนง่าย (เช่นเดียวกับกาแฟ) ได้แก่ ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ไทรอยด์ โรคกระเพาะ หรือคนที่นอนหลับยาก ก็ไม่ควรดื่มชา กาแฟ หลัง 18.00 (หรือ12.00) ด้วย สำหรับผมตอนนี้ได้เริ่มดื่มชาเขียวสลับกับกาแฟแล้ว (ยังไงก็ยังดื่มกาแฟอยู่เพราะกลิ่นหอมมากครับ) เดี๋ยวนี้เขามีมีชาเขียวขายเป็นแบบถุงเล็กๆ สำหรับแช่และราคาไม่แพงมากเหมือนสมัยก่อน ยกเว้นวันหยุดก็จะต้มชาเขียวดื่มเองบ้าง เพราะบางคนบอกว่าการดื่มชาก็คล้ายๆ กับดื่มไวน์ในใบชาแต่ชนิดแม้จะพันธุ์เดียวกันแต่ปลูกในที่ต่างกันหรือเก็บ เกี่ยวในฤดูกาลที่ต่างกันก็จะให้รสที่ต่างกันด้วย

.........................................................

ชาขาว (White Tea) ใช้เฉพาะยอดอ่อนของต้นชา เมื่อเด็ดมาแล้วก็จะนำไปทำให้แห้งโดยตากแดด เป็นที่รู้กันทั่วโลกว่าชาขาวมี 2 ประเภท คือ ซิลเวอร์ นีดเดิล (Silver Needle) หรือเข็มเงิน เป็นชาขาวที่ค่อนข้างหายาก ราคากิโลกรัมละอยู่ในหลักหมื่นบาท เพราะผลิตได้ยาก เนื่องจากแต่ละปีมีวันเก็บใบชาเพียง 2 วัน เป็นสองวันในเดือนพฤษภาคมของทุกปีที่ใบชายังห่อตัวอยู่ ถ้าเลยจากสองวันนี้ในฤดูกาลเก็บแล้วใบชาจะบาน ชาขาวประเภทที่สองคือ ไวท์ พีโอนี (White Peony) หรือโบตั๋นขาว เป็นชาขาวที่เกิดจากการที่ใบชา เข็มเงิน บานออกมา รสชาติใกล้เคียงกัน แต่รสชาติเข็มเงินค่อนข้างอ่อนกว่าไวท์ พีโอนี คุณธรรมรัตน์แนะนำให้ดื่มชาขาวในช่วงระหว่างอ่านหนังสือ หรือทำคอมพิวเตอร์ เพราะชาขาวมีคุณสมบัติช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้ดี ไม่แนะนำให้ดื่มคู่กับขนมหรืออาหาร เนื่องจากรสชาติชาขาวอ่อนละมุนมาก รสชาติอาหาร-ขนมจะกลบรสชาติชาขาวหมด อาจรู้สึกเหมือนดื่มน้ำร้อนเปล่าๆ

ตอนจบของชาเขียว

ประเภทของชาเขียว มี 2 ประเภท
ชาเขียวแบบญี่ปุ่น ชาเขียวแบบญี่ปุ่นไม่ต้องคั่วใบชา ชาเขียวมีสารอาหารพวกโปรตีน น้ำตาลเล็กน้อย และมีวิตามินอีสูง
ชาเขียวแบบจีน ชาเขียวแบบจีนจะมีการคั่วด้วยกะทะร้อน
วิตามินเอและวิตามินอีที่มีอยู่ในใบชาจะสูญเสียไปเกือบหมดถ้าใช้ระยะเวลาในการชงนานจนเกินไป ส่วนปริมาณของแคลเซียม เหล็ก และวิตามินซีจะสูญเสียไปประมาณครึ่งหนึ่ง

ใบชาเขียวมีสารสำคัญ 2 ชนิด
กาเฟอีน(caffein)
ซึ่งมีอยู่ในชาเขียวประมาณร้อยละ 2.5 โดยน้ำหนัก ซึ่งสารชนิดนี้เองที่ทำให้น้ำชาสามารถกระตุ้น ให้สมองสดชื่น แจ่มใส หายง่วง เนื่องจากกาเฟอีนมีฤทธิ์กระตุ้นประสาท เพิ่มการเผาผลาญ เพิ่มการทำงานของหัวใจและไต ผู้ป่วยโรคหัวใจก็ไม่ควรดื่มชา เนื่องจากกาเฟอีนมีคุณสมบัติในการกระตุ้นประสาทและบีบหัวใจ

แทนนิน หรือ ฝาดชา (tea tannin)
พบในใบชาแห้งประมาณร้อยละ 20-30 โดยน้ำหนัก เป็นสารที่มีรสฝาดที่ใช้บรรเทาอาการท้องเสียได้ ดังนั้นหากต้องการดื่มชาเขียวให้ได้รสชาติที่ดีจึงไม่ควรทิ้งใบชาค้างไว้ ในกานานเกินไป เพราะแทนนินจะละลายออกมามากทำให้ชาเขียวมีรสขมแต่ถ้าหากดื่มชาเขียวเพื่อจุด ประสงค์ในการบรรเทาอาการท้องเสียก็ควรต้มใบชานานๆเพื่อให้มีปริมาณแทนนินออก มามากแทนนินยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ของกล้ามเนื้อหัวใจและขยายผนังหลอดเลือด จึงทำให้ชาเขียวเหมาะสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงด้วย นอกจากนี้ยังพบว่า สารแคซิทิน (catecihns) ซึ่งเป็นสารแทนนินชนิดหนึ่งในชาเขียว มีฤทธิ์เป็นสารต้านการเกิดมะเร็ง

ชาเขียว (ต่อ)

ชาเขียวกับประสิทธิภาพในการรักษาโรคมีด้วยกันทั้งหมด 15 วิธี คือ
การใช้ชาเขียวร่วมกับใบหม่อน ที่ช่วยป้องกันโรคหวัด ลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
การใช้ชาเขียวกับส่วนหัวของต้นหอม จะช่วยขับเหงื่อ แก้ไข้หวัด
การใช้ชาเขียวร่วมกับขิงสด ช่วยรักษาอาการอาหารเป็นพิษและจุกลม ช่วยต่อต้านมะเร็งตับ
การใช้ชาเขียวร่วมกับตะไคร้แห้งจะช่วยขับไขมันในเส้นเลือด
การใช้ชาเขียวร่วมกับคึ่นฉ่ายจะช่วยในการลดความดันโลหิต
การใช้ชาเขียวร่วมกับไส้หมาก ลดน้ำตาลในเส้นเลือด
การใช้ชาเขียวร่วมกับดอกเก๊กฮวยสีเหลือง จะช่วยแก้วิงเวียนศีรษะ ตาลาย
การใช้ชาเขียวร่วมกับลูกเดือย จะลดอาการบวมน้ำ ตกขาว และมดลูกอักเสบ
การใช้ชาเขียวร่วมกับเม็ดเก๋ากี้ จะช่วยลดความอ้วน แก้ตาฟาง
การใช้ชาเขียวร่วมกับโสมอเมริกา ทำให้สดชื่น บำรุงหัวใจ แก้คอแห้ง
การใช้ชาเขียวร่วมกับเนื้อลำไยแห้ง จะบำรุงสมอง เสริมความจำ
การใช้ชาเขียวร่วมกับบ๊วยเค็ม จะช่วยบรรเทาอาการคอแห้ง แสบคอ เสียงแหบ
การใช้ชาเขียวร่วมกับหนวดข้าวโพด จะลดความดันโลหิต ลดน้ำตาลในเส้นเลือด ลดอาการบวมน้ำ
การใช้ชาเขียวร่วมกับน้ำตาลกลูโคส จะช่วยบรรเทาอาการตับอักเสบ
การใช้ชาเขียวร่วมกับเม็ดบัว จะช่วยบรรเทาอาการฝันเปียก และยับยั้งการหลั่งเร็ว

ชาเขียว (ต่อ)

ข้อเสียของชาเขียว
ชาเขียวจะมีประโยชน์ แต่ชาที่เข้มข้นเกินไป ก็อาจจะมีโทษได้เช่นกัน

ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไทรอยด์ จะมีอาการกระสับกระส่าย ใจเต้นเร็ว มือสั่นอยู่แล้ว การดื่มชาจะทำให้มีอาการเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น
หญิงมีครรภ์ ควรงดดื่มเพราะจะส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์
ในรายที่เป็นผู้ป่วยโรคหัวใจ ควรงดดื่มชา เพราะกาเฟอีนจะทำให้หัวใจทำงานไม่ปกติ คือเต้นเร็วขึ้น (หากชอบดื่มชา ก็อาจเลือกชาชนิดที่สกัดกาเฟอีนออกแล้วก็ได้)
คนที่เป็นโคกระเพาะอาหารอักเสบ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชา เพราะชาจะกระตู้นให้ผนังกระเพราะอาหารหลั่งน้ำย่อยซึ่งมีสภาวะเป็นกรดมา มากกว่าปกติ ทำให้อาการอักเสบยิ่งรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ตามในกรณีที่เป็นโรคกระเพาะแต่เลิกดื่มชาไม่ได้ การเติมนมก็มีประโยชน์ เพราะนมยับยั้งแทนนินไม่ให้ออกฤทธิ์กระตุ้นน้ำย่อยในกระเพราะอาหาร
การดื่มชาแทนอาหารเช้าจะทำให้ ร่างกายขาดสารอาหาร จึงควรเติมนมหรือน้ำตาลอาจเพิ่มเพิ่มคุณค่าได้บ้าง และควรกินอาหารชนิดอื่นร่วมด้วย
การดื่มชาในปริมาณที่เข้มข้นมากๆจะทำให้เกิดอาการท้องผูก และนอนไม่หลับ
ไม่ควรดื่มชาที่ร้อนจัดมากๆเพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อทางเดินอาหาร ระคายเคืองต่อเซลล์ จะทำให้เกิดโรคมะเร็งสูง
การดื่มชาเขียวในปริมาณสูงอาจมีผลในการลดการดูดซึมวิตามิน B1 และ ธาตุเหล็กได้
ในกรณีที่ดื่มชาเพื่อต้องการเสริมสุขภาพและป้องกันมะเร็ง การเติมนมในชาก็ไม่ได้ผล เพราะฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเกิดจากสารแทนนิน แต่การเติมนมลงไปนมจะไปจับกับสารแทนนิน ไม่ให้ออกฤทธิ์
แม้จะมีการวิจัยต่างๆ มากมายที่ระบุว่าสาร EGCG ในคาเทซินซึ่งมีอยู่ในชาจะสามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งได้ถึง 50% แต่การทดลองบางแห่งหนึ่งก็พบว่าการ EGCG เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดมะเร็งในสัตว์อีกชนิดหนึ่ง เพราะความสลับซับซ้อนของเอมไซม์และฮอร์โมนของสัตว์ที่แตกต่างกัน ฉะนั้นการดื่มชาเพื่อสุขภาพที่แท้จริงจึงควรอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะพอดี

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7

ชาเขียว (Green Tea) เมื่อเก็บยอดอ่อนใบชาที่ยังห่อตัวอยู่เพื่อใช้ทำชาขาวไปแล้ว วันต่อๆ มาใบชาที่เหลือก็จะเริ่มบาน ถ้าเก็บใบที่สองกับใบที่สาม หมายถึงจะนำมาทำชาเขียว เมื่อเก็บใบชามาแล้วก็จะทำให้แห้ง ซึ่งจะแยกอีกว่าทำให้แห้งแบบจีนหรือแบบญี่ปุ่น ก็จะทำให้ได้ชาเขียวที่แตกต่างกันออกไปอีก ชาเขียวที่ดีของจีนยกให้กับชาเขียวหลงจิ่ง เนื่องจากภูมิอากาศ สภาพแวดล้อม ขั้นตอนการผลิต ทำให้ชาเขียวหลงจิ่งมีคุณภาพดีมาก ชาเขียวเหมาะกับการดื่มคู่อาหารจีน ถ้าดื่มตอนเช้ามีคุณประโยชน์คือช่วยล้างสารพิษในร่างกายให้ออกมากับการขับ ถ่าย ถ้าขับรถนานๆ หรือเกิดภาวะนั่งเครื่องบินนานๆ การดื่มชาเขียวสามารถช่วยปรับสภาพร่างกายให้เข้าสู่สภาวะปกติได้เร็ว

http://bangkokbiznews.com/jud/taste/20070701/news.php?news=column_23499745.html

ชาเขียว(ต่อ)

ชาเขียว อาจไม่ช่วยต้านมะเร็งเสมอไป

อาจารย์สมศรี เจริญเกียรติกุล จากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ถึงแม้ว่าจะมีการศึกษาวิจัยต่างๆ มากมายที่ระบุสว่าชามีสมบัติในการด้านการเกิดมะเร็งในสัตว์ทดลอง เช่น ที่สถาบันวิจัยในประเทศจีนพบว่า สาร EGCG สามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งในหนูทดลองที่ถูกฉีดสารกระตุ้นให้เป็นมะเร็งถึง 50 %

แต่จากการทดลองอีกแห่งหนึ่งกลับพบว่า EGCG เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดมะเร็งในสัตว์อีกชนิดหนึ่ง สาเหตุเป็นเพราะสัตว์ที่แตกต่างกันจะมีความสลับซับซ้อนของเอนไซม์และฮอร์โมนที่ต่างกันไปนั่นเอง ซึ่งทางวงการวิทยาศาสตร์ต้องพยายามหาข้อสรุปผลที่จะเกิดกับมนุษย์ต่อไป

ข้อเสียของชาเขียว

แม้ว่าชาเขียวจะมีข้อดีอยู่มาก แต่อาจารย์สมศรี ได้เตือนว่า การดื่มชามากเกินไปจะมีผลต่อโภชนาการ เพราะชาเขียว จะขัดขวางในการดูดซึมธาตุเหล็ก จึงไม่เหมาะกับผู้ป่วยที่เป็นโรคโลหิตจาง หญิงตั้งครรภ์ เด็กในวัยเจริญเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาเฟอีนในชาเขียวมีผลทำให้นอนไม่หลับ

อย. ว่าประโยชน์ของชาเขียวต่อร่างกายยังเป็นเพียงแค่หลักวิชาการ

เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2548 ศ.ดร.ภักดี โพธิศิริ เลขาธิการ อย. อธิบายว่า ตามที่ในหลายประเทศนิยมดื่มชาเขียวอย่างจีนและญี่ปุ่น มีการเผยแพร่คุณสมบัติต่างๆ ในชาเขียว เช่น มีสาร Antioxidant ต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกายทำให้อายุยืนขึ้น ฯลฯ โดยมีการตั้งสถาบันวิชาการเพื่อศึกษาเรื่องนี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวนั้น ยังเป็นเพียงแนวคิดตามหลักทางวิชาการเท่านั้นตามสารที่พบ

แต่ในทางคลินิกยังไม่เคยมีการวิจัยว่า เมื่อดื่มชาเขียวแล้วจะให้ผลดีเช่นนั้นหรือไม่ ยังไม่มีการทดลองอย่างจริงจังจึงไม่สามารถสรุปได้ และที่สำคัญสำหรับน้ำชาเขียวบรรจุขวดที่นิยมดื่มในประเทศขณะนี้เป็นเพียงน้ำชาทั่วไปเท่านั้น

คาแฟอีนในชาเขียวพร้อมดื่ม

โดยทั่วไปใบชาที่เก็บตามธรรมชาติพบสารคาแฟอีนสูงกว่ากาแฟมาก แต่ด้วยวิธีการดื่มชาจะต้องนำใบชามาชงกับน้ำก่อน จึงมีผลทำให้ปริมาณคาแฟอีนเจือจางลง จนระบุจำนวนสารคาแฟอีนไม่ได้แน่นอน ขึ้นอยู่กับปริมาณและจำนวนครั้งของการชง ผู้ดื่มชาเขียวอย่างต่อเนื่องจะได้รับผลกระทบต่อจิตประสาท เพราะคาเฟอีนจะทำให้จิตประสาทตื่นตัวนอนไม่หลับกล้ามเนื้อสั่น หัวใจสั่น และหากทำงานหนักมากอาจช็อกและเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ยิ่งควรหลีกเลี่ยงการดื่มคาแฟอีนทุกประเภท เพราะมีผลต่อความจำของเด็ก

เลขาธิการ อย. ย้ำว่าคุณสมบัติชาเขียวมีตามหลักวิชาการเท่านั้น ยังไม่มีการทดสอบอย่างจริงจัง

ในส่วนของชาเขียวพร้อมดื่ม จะมีจำนวนสารคาแฟอีนค่อนข้างต่ำ โดยในบางยี่ห้อมีการระบุไว้ที่ข้างขวด เพียง 9-16 มิลลิกรัมต่อน้ำ 100 มิลลิลิตร ถือเป็นปริมาณ สารคาแฟอีนที่ไม่มาก

ใบชาที่เก็บตามธรรมชาติ เมื่อนำมาทดสอบหาปริมาณสารคาแฟอีน จะพบว่าสูงกาแฟมาก โดยสูงถึง 15% ขณะที่ในกาแฟมีเพียงแค่ 3% แต่เนื่องจากวิธีการกินชานั้น จะต้องนำใบชามาชงกับน้ำทำให้ปริมาณคาแฟอีนเจือจางลง ซึ่งไม่สามารถระบุจำนวนสารคาแฟอีนได้แน่นอน ขึ้นอยู่กับปริมาณและจำนวนครั้งของการชง

อย. ถือว่าการลับลอบผลิตชาเขียวพร้อมดื่มที่ไม่ได้มาตรฐานคือ ไม่มีการระบุบนฉลากว่ามีส่วนผสมของคาแฟอีน เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายที่ต้องดำเนินคดี เนื่องจากอาจมีคาแฟอีน มากพอที่จะทำให้เกิดผลกระทบต่อจิตประสาทต่อผู้บริโภค

แถมขณะนี้ กรมสรรพสามิตมีแผนการเก็บภาษีเพิ่ม เนื่องจากเห็นว่าชาเขียวพร้อมดื่มเป็นเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาแฟอีนเช่นเดียวกับเครื่องดื่มกาแฟดังนั้น ในเร็ววันนี้ผู้บริโภคอาจต้องจ่ายแพงขึ้นสำหรับซื้อสินค้าตัวนี้

ดื่มน้ำชาบรรจุขวดกันต่อดีหรือไม่

เมื่อหน่วยงานที่มีหน้าที่ควบคุมเขาบอกว่าชาเขียวพร้อมดื่มเป็นน้ำชาชงดื่มแบบธรรมดาทั่วๆไป แถมตอนนี้ อย. หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังคงไม่ได้ทำวิจัยหาข้อเท็จจริงว่าในชาเขียวพร้อมดื่มมีผลทำให้ร่างกายเป็นอย่างไร ดื่มแล้วสดชื่นเสริมภูมิต้านทาน หรือประสาทกินหนักขึ้นหรือไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ต่อร่างกาย

ดังนั้น ท่านผู้อ่านที่นิยมดื่มชาเขียวบรรจุขวดเป็นประจำก็ใช้วิจารณญาณกันเอาเองก็แล้วกันว่า ดื่มน้ำชาเขียว 500 ซีซี ในแต่ละครั้งคุ้มกับเงินที่จ่ายไปขวดละ 20 บาทหรือไม่