29 มิถุนายน 2553

กะเม็ง

กะเม็ง หรือกะเม็งตัวเมีย มีชื่อเรียกแตกต่างกันหลายชื่อ ขึ้นกับแต่ละท้องถิ่น เช่น ทางภาคเหนือ เรียกว่า ฮ่อมเกี้ยว ทางพายับ เรียก หญ้าสับ จีน เรียก บั้งกีเช้า ทางภาคกลาง เรียก กะเม็งตัวเมีย

กะเม็งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Eclipta prostrata Linn. ในวงศ์ Compositae ซึ่งเป็นพืชในวงศ์เดียวกับ ทานตะวัน และดาวเรือง

กะเม็ง เป็นพืชขนาดเล็ก เป็นพืชที่ขึ้นเองตามริมทาง ที่ชื้นแฉะ และที่รกร้างทั่วไป อาจมีการเพาะปลูกไว้เพื่อใช้เป็นยา กระเม็งมีลำต้นอวบ เลื้อยแผ่บนดิน ปลายยอดมักตั้งขึ้นตรง ใบออกตรงข้าม มีลักษณะเรียว ยาวประมาณ 4-10 ซม. และกว้าง 0.8-2 ซม. ถ้าเกิดในที่ชุ่มชื้น มีน้ำมากใบก็ใหญ่ เกิดในที่แห้งแล้ง ใบจะเล็ก ฐานใบมีลักษณะเป็นรอยเว้าเข้า และบานออกเล็กน้อยทั้งสองด้าน ปลายค่อนข้างแหลม ขอบใบมีรอยหยักตื้น ๆ ทั้งสองด้าน มีขนสั้น ๆ สีขาว กะเม็ง ออกดอกเป็นช่อ จากซอกใบ หรือที่ยอดเป็นกลุ่มแน่นสีขาว ขอบของช่อดอก มีดอกย่อยคล้ายลิ้นเรียงตัวเป็นรัศมีสีขาวชั้นเดียว มีกลีบเลี้ยงสีเขียวรองรับช่อดอก 5-6 กลีบ ผลมีสีเหลืองปนดำ เมื่อขยี้ดูจะมีน้ำสีดำออกมา

การเก็บกะเม็งมาใช้เป็นยานั้น จะเก็บมาใช้ทั้งต้นในขณะที่ต้นเจริญเต็มที่ กำลังออกดอก เมื่อเก็บมาแล้ว ควรล้างดินออกให้สะอาด หั่นเป็นท่อนหรือชิ้นเล็ก ๆ ตากหรือผึ่งให้แห้ง เก็บไว้ในที่แห้งและเย็น เพื่อใช้เป็นยา ลักษณะของยาแห้งที่ดี ควรมีสีเขียว ไม่มีเชื้อรา และสิ่งอื่นเจือปน

สำหรับสรรพคุณทางยาของกะเม็งนั้น มีหลายประการด้วยกัน กะเม็งมีรสเปรี้ยว ชุ่มเย็น ใช้เป็นยาห้ามเลือด บำรุงไต แก้บิด ถ่ายเป็นมูกเลือด แก้ลำไส้อักเสบ ตับอักเสบเรื้อรัง โรคผิวหนังผื่นคันจากการทำนา และรักษาผมหงอกก่อนวัย

วิธีและปริมาณที่ใช้ของกะเม็งนั้น จะใช้ทั้งต้นแห้ง 10-30 กรัม ต้มเอาน้ำกิน หรือจะนำมาบดเป็นผง ทำเป็นยาเม็ดลูกกลอน หรือกินเป็นผงก็ได้

รายละเอียดของวิธี และปริมาณที่ใช้ของกะเม็ง ในการนำมารักษาโรคต่าง ๆ จะเป็นดังนี้
1. ใช้เป็นยาห้ามเลือด ใช้ต้นสด ตำพอก หรือใช้ต้นแห้ง บดเป็นผง โรยที่แผล
2. แก้บิดถ่ายเป็นมูกเลือด ใช้ต้นแห้ง 30 กรัม หรือ ต้นสด 120 กรัม ต้มน้ำกินติดต่อกัน 3-4 วัน
3. แก้โรคผิวหนังผื่นคันจากการทำนา ใช้น้ำคั้นจากใบสดทาบริเวณมือและเท้า
ปล่อยให้แห้งก่อนและหลังการลงไปทำนา เป็นการป้องกันมือและเท้าเปื่อย แต่ถ้ามือและเท้าเปื่อย จากการทำนาแล้ว ก็สามารถใช้น้ำคั้นจากใบทารักษาได้ โดยทาวันละ 2 ครั้ง จนกว่าจะหาย
4. แก้ผมหงอกก่อนวัย ใช้น้ำคั้นจากต้นเคี่ยวกับน้ำมันงา หรือน้ำมันมะพร้าวทา
ศีรษะจะทำให้ผมดกดำ และแก้ผมหงอกก่อนวัย

มีรายงานการวิจัยพบว่า กะเม็ง สามารถแก้ความเป็นพิษที่ตับ ที่เกิดจากการทำให้เซลล์ตับเป็นพิษ ด้วยสารพิษบางชนิดได้ผลดี มีรายงานว่า กะเม็ง มีฤทธิ์แก้ไข้ และแก้แพ้ในหนูถีบจักร และหนูขาวอีกด้วย ดังนั้น จึงเป็นข้อมูลที่ยืนยันได้ว่า กะเม็ง สามารถนำมาใช้ในการรักษาตับอักเสบ และโรคผิวหนังผื่นคันได้เป็นอย่างดี

ชาวจีนได้นำกะเม็งมาใช้ในการแก้ผมหงอกก่อนวัย และทำให้ผมดกดำมาเป็นเวลานาน และยังใช้จนมาถึงปัจจุบันนี้ นอกจากนี้แพทย์แผนไทยในชนบท ยังได้นำกะเม็งมาใช้เป็นยาบำรุงเลือดอีกด้วย จะเห็นได้ว่า กะเม็ง จัดเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์มากมาย

สรุป

กะเม็ง เป็นพืชล้มลุก พบขึ้นตามที่รกร้าง และที่ชื้นแฉะทั่วไป กะเม็งเป็นยาสมุนไพรที่ใช้กันมานาน มีประโยชน์ทางยามากมาย สามารถนำมาใช้ในการรักษาโรคตับอักเสบ โรคผิวหนังผื่นคันจากการทำนา และรักษาผมหงอกก่อนวัย ทำให้ผมดกดำ มีรายงานการวิจัยพบว่า กะเม็งสามารถแก้ความเป็นพิษต่อตับที่เกิดจากสารพิษได้ดี มีฤทธิ์แก้ไข้และแก้แพ้ในหนูถีบจักร และหนูขาว ดังนั้น จึงเป็นข้อมูลที่ช่วยสนับสนุนในการใช้กะเม็ง เพื่อรักษาโรคตับอักเสบและโรคผิวหนังผื่นคัน
จาก http://herbal.pharmacy.psu.ac.th/Article/10-44/Eclipta.htm

22 มิถุนายน 2553

ชาดำ

ชาดำ (Black Tea) ประเทศที่มีการผลิตชาดำคือจีน อินเดีย ศรีลังกา นิยมดื่มเพื่อเติมความกระปรี้กระเปร่าในยามเช้าของวัน เพราะในชาดำจะมีสารกาเฟอีนที่ทำให้รู้สึกสดชื่น พร้อมช่วยกระตุ้นระบบกล้ามเนื้อหัวใจ และการไหลเวียนของโลหิต ชาดำที่นิยมดื่มกันมี 2 ประเภท คือ 'ชาอัสสัม' จากประเทศอินเดีย และ 'ชาปู่เอ๋อ' จากประเทศจีน ในการดื่มชาดำนั้นนิยมนำมาผสมกับสมุนไพรและดอกไม้อื่นๆ กลายเป็น ชาเอิร์ลเกรย์ (Earl Grey) ชาอิงลิช เบรกฟัสต์ (English Breakfast) และชามาร์โค โปโล (Marco Polo) เป็นต้น

http://bangkokbiznews.com/jud/taste/20070701/news.php?news=column_23499745.html

ชาขาว

ชาขาว (White Tea)
นาน แสนนานมาแล้ว จักรพรรดิจีนแห่งราชวงศ์ Song ทรงพระเกษมสำราญอยู่กับรสชาติและกลิ่นหอมรื่นชื่นใจของ Silver Tip White Tea เครื่องดื่มมหัศจรรย์สูงค่านี้มีประสิทธิภาพในการขับไล่ความเหนื่อยอ่อน และให้ความสดชื่นรื่นเริงใจพร้อมทั้งกระตุ้นความเข้มแข็งให้กลับคืนมา หลายคนอ้างว่ามันเป็นเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมสำคัญของน้ำอมฤตที่ดี่มแล้ว เป็นอมตะ
ในปัจจุบัน ชาชนิดนี้ รู้จักกันในชื่อของหยินเซน (เข็มเงิน) แหล่งผลิตปลูกกันกว้างขวางในประเทศจีน บนภูเขาสูงแห่งจังหวัดฟูเจี้ยน มันจะถูกเก็บเป็นเวลาสองสามวันสั้น ๆ ในแต่ละฤดูใบใม้ผลิเมื่อช่อสีขาวเพิ่งจะผลิออกมา เฉพาะใบที่อ่อนที่สุดที่ยังปกคลุมด้วยปุยขนอ่อนสีขาวเท่านั้นที่จะถูกเก็บ จะต้องเก็บเกี่ยวยอดอ่อนๆจากแต่ละต้นด้วยมือเปล่าถึง 80,000 ยอดจึงจะสามารถนำมาผลิตเป็นชากลิ่นหอมได้น้ำหนัก 1 ปอนด์ หลังจากนั้นใบชาจะถูกนำไปตากแห้งในแสงอาทิตย์ธรรมชาติ ขั้นตอนง่ายๆ ดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ White Tea แตกต่างจากชาประเภทอื่น และยังเป็นการรักษาคุณประโยชน์นานาประการมิให้
สลายไปกับกรรมวิธีของมนุษย์

ประโยชน์
ใน ปัจจุบันนี้ สารเคมีธรรมชาติที่เรียกว่า Polyphenols เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นแอนติออกซิเดนท์เข้มข้น สารเคมีธรรมชาติที่ทรงพลังนี้จะช่วยพัฒนากระบวนการป้องกันสารพิษในร่างกาย และยับยั้งอนุมูลอิสระที่มีปฏิกิริยาต่อต้านร่างกายPolyphenols พบกันทั่วไปในชาหลายประเภทรวมทั้งชาเขียว แต่จากขั้นตอนการปรุงชาที่ต้องทำให้ชาแห้งและผ่านขั้นตอนการให้ความร้อน ทำให้ Polyphenols จำนวนมากสูญสลายไป แต่ Polyphenols ยังคงมีอยู่ใน White Tea ด้วยเหตุผลสองประการ
1. White Tea มาจากช่อใหม่ของต้นชาซึ่งมีพลังงานอยู่ในระดับศักยะภาพสูงสุด
2. หลังจากการเก็บใบชา White Tea จะไม่มีการม้วนหรือให้หมัก แต่จะปล่อยให้แห้งไปเองโดยแสงอาทิตย์ตามธรรมชาติ นักวิจัยคาดการณ์ว่าขั้นตอนที่กระชับที่สุดเหล่านี้เองที่ช่วยรักษาให้ White Tea มีความบริสุทธิ์กว่าและอยู่ในสภาวะมีพลังงานมากกว่า White Tea มีคุณค่าของแอนติออกซิเดนท์มากกว่าชาเขียวถึงสามเท่า White Tea ยังป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกายมากกว่าชาเขียวถึงสิบเท่า และความสามารถในการปกป้องผิวก็ยิ่งสูงกว่าด้วยเช่นกัน
การชงและการเสิร์ฟ
เมื่อ ต้องการจะดื่มชาให้ตักใบชาใส่ช้อนจำนวนสองช้อนโต๊ะ แต่ละช้อนจะมีปริมาณชาพอที่ชงใส่ถ้วยขนาด 8 ออนซ์ จากนั้นนำไปใส่เครื่องกรอง ให้กรองประมาณ 4-5 นาทีผ่านน้ำร้อนสะอาดที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเดือด Silver Tip White Tea มีรสชาติในตัวอยู่แล้วซึ่งไม่จำเป็นต้องเติมน้ำตาล นม หรือมะนาว แต่อย่างใด ชาที่มีราคาสูงนี้มีแอนติออกซิเดนท์ปริมาณมากอยู่แล้วโดยธรรมชาติ และยังมีคาเฟอีนต่ำอีกด้วย

ปัจจุบันนี้คนไทยเรามีการนิยมดื่มชากัน มากขึ้นเพราะเชื่อว่า จะเป็นผลดี และเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ จนกระทั่งมีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับชาหลายชนิดให้เลือกจนเลือกกันไม่ถูก ทั้งที่เป็นเครื่องดื่ม หรือการนำชาเขียวเป็นส่วนผสมใส่ในอาหารต่างๆ เช่น เค้ก ไอศกรีมชาเขียว นมชาเขียว ขนมปังชาเขียว หรือแม้แต่ในเครื่องสำอาง วันนี้เราลองมาดูกันเกี่ยวกับเรื่องชาว่าเป็นอย่างไรกัน ชาวจีนเป็นชนชาติแรกที่มีการดื่มชากันและต่อมาก็มีการแพร่หลายไปสู่ประเทศ ทางตะวันตกมากขึ้น และมีประวัติศาสตร์บางส่วนที่ชาทำให้เกิดสงครามขึ้นระหว่างจีนกับอังกฤษ และสงครามอิสระภาพระหว่างอังกฤษ และอเมริกา

ชาทุกชนิดจะทำมาจากต้น ชาที่มีชื่อว่า Camellia sinensis ส่วนชื่อที่เรียกต่างกันนั้นเนื่องจากขบวนการผลิตภัณฑ์ใบชาที่ต่างกัน การทำชาเขียว (green tea) นั้นจะเอาใบชามาอบ (steam) และทำให้แห้ง (dry) ซึ่งเป็นขบวนการที่ยังทำให้ใบชามีสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) พวก โพลีฟีนอลส์ (polyphenols) อยู่ ส่วนชาดำ (black tea) นั้นจะผ่านขบวนการอ็อกซิเดชั่น (oxidation) ต่อไปทำให้มีการลดลงของสารต้านอนุมูลอิสระ ส่วนชาอูหลง (Oolong) จะผ่านขบวนการผลิตที่อยู่ระหว่างชาเขียว และชาดำทำให้รสชาติ กลิ่น สารต้านอนุมูลอิสระอยู่ระหว่างชาเขียว และชาดำด้วย ส่วนชาขาว (white tea) นั้นผลิตจากประเทศจีน ที่มีขบวนการผลิตที่น้อยลงทำให้มีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาเขียว เวลาชงจะได้สีออกจางๆ และรสชาติที่นุ่มนวล ส่วนที่ได้ยินคำว่า "ชาแดง" (red tea) นั้นก็มีความหมายหลายอย่างเหมือนกัน เป็นภาษาที่มาจากภาษาจีน ซึ่งตรงกับความหมายทางตะวันตกว่า ชาดำ (black tea) หมายถึง ชาอูหลง ดังที่ผมกล่าวข้างต้น หมายถึง "ชา" ที่ได้จากพืช Aspalanthus linearis ในอเมริกาตอนใต้ ซึ่งจะเห็นว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่ชาเพราะชาที่แท้จริง (real tea) ต้องได้จากพืช Camellia sinesis ซึ่งชาแดงชนิดนี้จะไม่มีคาเฟอีนและ แทนนิน (tannins) ปัจจุบันมีคนพยายามอ้างว่าเป็นน้ำดื่มสุขภาพ (health beverage) แต่ยังมีการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่น้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับชาเขียว

มีสารอะไรบ้างในชา
สาร คาเฟอีน (caffeine) สารตัวนี้เป็นที่ถกเถียงกันในวงการแพทย์ว่ามีประโยชน์ หรือ โทษกันแน่ แต่โดยทั่วไปยอมรับกันว่าถ้าดื่มไม่เกินวันละ 200 มิลลิกรัม ก็ไม่มีผลเสียอะไร ซึ่งในปริมาณนี้จะเท่ากับการดื่มกาแฟประมาณวันละ 2 ถ้วย (ถ้วยละประมาณ 8 ออนซ์) เท่ากับชาวันละประมาณ 5 ถ้วย (ใบชาจะมีคาเฟอีนประมาณ 30-40% ของกาแฟ) สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของต่างๆ ตัวที่สำคัญคือ กลุ่มโพลีฟีนอลส์ (polyphenols) ที่เด่นๆ คือ epigallocatechin-3-gallate (EGCG หรือ catechins) ประโยชน์ของสารต้านอนุมูลอิสระนั้นมีมากมายตั้งแต่การป้องกันการเกิดโรค ต่างๆ จนถึงมะเร็ง สารแทนนิน (tannin) ซึ่งช่วยในการบรรเทาอาการท้องเสีย ควรต้มหรือแช่ชานานๆ เพื่อให้ได้สารแทนนิน แร่ธาตุอื่นๆ
เช่น ฟลูออไรด์ วิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 และอื่นๆ อีกหลายชนิด

ใครบ้างที่ควรระวังในการดื่มชา
โดย ปกติแล้วถือว่าชาเป็นเครื่องดื่มที่มีความปลอดภัยสูง ยกเว้นในบางคนที่อาจโดนกระตุ้นด้วยสารคาเฟอีนง่าย (เช่นเดียวกับกาแฟ) ได้แก่ ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ไทรอยด์ โรคกระเพาะ หรือคนที่นอนหลับยาก ก็ไม่ควรดื่มชา กาแฟ หลัง 18.00 (หรือ12.00) ด้วย สำหรับผมตอนนี้ได้เริ่มดื่มชาเขียวสลับกับกาแฟแล้ว (ยังไงก็ยังดื่มกาแฟอยู่เพราะกลิ่นหอมมากครับ) เดี๋ยวนี้เขามีมีชาเขียวขายเป็นแบบถุงเล็กๆ สำหรับแช่และราคาไม่แพงมากเหมือนสมัยก่อน ยกเว้นวันหยุดก็จะต้มชาเขียวดื่มเองบ้าง เพราะบางคนบอกว่าการดื่มชาก็คล้ายๆ กับดื่มไวน์ในใบชาแต่ชนิดแม้จะพันธุ์เดียวกันแต่ปลูกในที่ต่างกันหรือเก็บ เกี่ยวในฤดูกาลที่ต่างกันก็จะให้รสที่ต่างกันด้วย

.........................................................

ชาขาว (White Tea) ใช้เฉพาะยอดอ่อนของต้นชา เมื่อเด็ดมาแล้วก็จะนำไปทำให้แห้งโดยตากแดด เป็นที่รู้กันทั่วโลกว่าชาขาวมี 2 ประเภท คือ ซิลเวอร์ นีดเดิล (Silver Needle) หรือเข็มเงิน เป็นชาขาวที่ค่อนข้างหายาก ราคากิโลกรัมละอยู่ในหลักหมื่นบาท เพราะผลิตได้ยาก เนื่องจากแต่ละปีมีวันเก็บใบชาเพียง 2 วัน เป็นสองวันในเดือนพฤษภาคมของทุกปีที่ใบชายังห่อตัวอยู่ ถ้าเลยจากสองวันนี้ในฤดูกาลเก็บแล้วใบชาจะบาน ชาขาวประเภทที่สองคือ ไวท์ พีโอนี (White Peony) หรือโบตั๋นขาว เป็นชาขาวที่เกิดจากการที่ใบชา เข็มเงิน บานออกมา รสชาติใกล้เคียงกัน แต่รสชาติเข็มเงินค่อนข้างอ่อนกว่าไวท์ พีโอนี คุณธรรมรัตน์แนะนำให้ดื่มชาขาวในช่วงระหว่างอ่านหนังสือ หรือทำคอมพิวเตอร์ เพราะชาขาวมีคุณสมบัติช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้ดี ไม่แนะนำให้ดื่มคู่กับขนมหรืออาหาร เนื่องจากรสชาติชาขาวอ่อนละมุนมาก รสชาติอาหาร-ขนมจะกลบรสชาติชาขาวหมด อาจรู้สึกเหมือนดื่มน้ำร้อนเปล่าๆ

ตอนจบของชาเขียว

ประเภทของชาเขียว มี 2 ประเภท
ชาเขียวแบบญี่ปุ่น ชาเขียวแบบญี่ปุ่นไม่ต้องคั่วใบชา ชาเขียวมีสารอาหารพวกโปรตีน น้ำตาลเล็กน้อย และมีวิตามินอีสูง
ชาเขียวแบบจีน ชาเขียวแบบจีนจะมีการคั่วด้วยกะทะร้อน
วิตามินเอและวิตามินอีที่มีอยู่ในใบชาจะสูญเสียไปเกือบหมดถ้าใช้ระยะเวลาในการชงนานจนเกินไป ส่วนปริมาณของแคลเซียม เหล็ก และวิตามินซีจะสูญเสียไปประมาณครึ่งหนึ่ง

ใบชาเขียวมีสารสำคัญ 2 ชนิด
กาเฟอีน(caffein)
ซึ่งมีอยู่ในชาเขียวประมาณร้อยละ 2.5 โดยน้ำหนัก ซึ่งสารชนิดนี้เองที่ทำให้น้ำชาสามารถกระตุ้น ให้สมองสดชื่น แจ่มใส หายง่วง เนื่องจากกาเฟอีนมีฤทธิ์กระตุ้นประสาท เพิ่มการเผาผลาญ เพิ่มการทำงานของหัวใจและไต ผู้ป่วยโรคหัวใจก็ไม่ควรดื่มชา เนื่องจากกาเฟอีนมีคุณสมบัติในการกระตุ้นประสาทและบีบหัวใจ

แทนนิน หรือ ฝาดชา (tea tannin)
พบในใบชาแห้งประมาณร้อยละ 20-30 โดยน้ำหนัก เป็นสารที่มีรสฝาดที่ใช้บรรเทาอาการท้องเสียได้ ดังนั้นหากต้องการดื่มชาเขียวให้ได้รสชาติที่ดีจึงไม่ควรทิ้งใบชาค้างไว้ ในกานานเกินไป เพราะแทนนินจะละลายออกมามากทำให้ชาเขียวมีรสขมแต่ถ้าหากดื่มชาเขียวเพื่อจุด ประสงค์ในการบรรเทาอาการท้องเสียก็ควรต้มใบชานานๆเพื่อให้มีปริมาณแทนนินออก มามากแทนนินยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ของกล้ามเนื้อหัวใจและขยายผนังหลอดเลือด จึงทำให้ชาเขียวเหมาะสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงด้วย นอกจากนี้ยังพบว่า สารแคซิทิน (catecihns) ซึ่งเป็นสารแทนนินชนิดหนึ่งในชาเขียว มีฤทธิ์เป็นสารต้านการเกิดมะเร็ง

ชาเขียว (ต่อ)

ชาเขียวกับประสิทธิภาพในการรักษาโรคมีด้วยกันทั้งหมด 15 วิธี คือ
การใช้ชาเขียวร่วมกับใบหม่อน ที่ช่วยป้องกันโรคหวัด ลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
การใช้ชาเขียวกับส่วนหัวของต้นหอม จะช่วยขับเหงื่อ แก้ไข้หวัด
การใช้ชาเขียวร่วมกับขิงสด ช่วยรักษาอาการอาหารเป็นพิษและจุกลม ช่วยต่อต้านมะเร็งตับ
การใช้ชาเขียวร่วมกับตะไคร้แห้งจะช่วยขับไขมันในเส้นเลือด
การใช้ชาเขียวร่วมกับคึ่นฉ่ายจะช่วยในการลดความดันโลหิต
การใช้ชาเขียวร่วมกับไส้หมาก ลดน้ำตาลในเส้นเลือด
การใช้ชาเขียวร่วมกับดอกเก๊กฮวยสีเหลือง จะช่วยแก้วิงเวียนศีรษะ ตาลาย
การใช้ชาเขียวร่วมกับลูกเดือย จะลดอาการบวมน้ำ ตกขาว และมดลูกอักเสบ
การใช้ชาเขียวร่วมกับเม็ดเก๋ากี้ จะช่วยลดความอ้วน แก้ตาฟาง
การใช้ชาเขียวร่วมกับโสมอเมริกา ทำให้สดชื่น บำรุงหัวใจ แก้คอแห้ง
การใช้ชาเขียวร่วมกับเนื้อลำไยแห้ง จะบำรุงสมอง เสริมความจำ
การใช้ชาเขียวร่วมกับบ๊วยเค็ม จะช่วยบรรเทาอาการคอแห้ง แสบคอ เสียงแหบ
การใช้ชาเขียวร่วมกับหนวดข้าวโพด จะลดความดันโลหิต ลดน้ำตาลในเส้นเลือด ลดอาการบวมน้ำ
การใช้ชาเขียวร่วมกับน้ำตาลกลูโคส จะช่วยบรรเทาอาการตับอักเสบ
การใช้ชาเขียวร่วมกับเม็ดบัว จะช่วยบรรเทาอาการฝันเปียก และยับยั้งการหลั่งเร็ว

ชาเขียว (ต่อ)

ข้อเสียของชาเขียว
ชาเขียวจะมีประโยชน์ แต่ชาที่เข้มข้นเกินไป ก็อาจจะมีโทษได้เช่นกัน

ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไทรอยด์ จะมีอาการกระสับกระส่าย ใจเต้นเร็ว มือสั่นอยู่แล้ว การดื่มชาจะทำให้มีอาการเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น
หญิงมีครรภ์ ควรงดดื่มเพราะจะส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์
ในรายที่เป็นผู้ป่วยโรคหัวใจ ควรงดดื่มชา เพราะกาเฟอีนจะทำให้หัวใจทำงานไม่ปกติ คือเต้นเร็วขึ้น (หากชอบดื่มชา ก็อาจเลือกชาชนิดที่สกัดกาเฟอีนออกแล้วก็ได้)
คนที่เป็นโคกระเพาะอาหารอักเสบ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชา เพราะชาจะกระตู้นให้ผนังกระเพราะอาหารหลั่งน้ำย่อยซึ่งมีสภาวะเป็นกรดมา มากกว่าปกติ ทำให้อาการอักเสบยิ่งรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ตามในกรณีที่เป็นโรคกระเพาะแต่เลิกดื่มชาไม่ได้ การเติมนมก็มีประโยชน์ เพราะนมยับยั้งแทนนินไม่ให้ออกฤทธิ์กระตุ้นน้ำย่อยในกระเพราะอาหาร
การดื่มชาแทนอาหารเช้าจะทำให้ ร่างกายขาดสารอาหาร จึงควรเติมนมหรือน้ำตาลอาจเพิ่มเพิ่มคุณค่าได้บ้าง และควรกินอาหารชนิดอื่นร่วมด้วย
การดื่มชาในปริมาณที่เข้มข้นมากๆจะทำให้เกิดอาการท้องผูก และนอนไม่หลับ
ไม่ควรดื่มชาที่ร้อนจัดมากๆเพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อทางเดินอาหาร ระคายเคืองต่อเซลล์ จะทำให้เกิดโรคมะเร็งสูง
การดื่มชาเขียวในปริมาณสูงอาจมีผลในการลดการดูดซึมวิตามิน B1 และ ธาตุเหล็กได้
ในกรณีที่ดื่มชาเพื่อต้องการเสริมสุขภาพและป้องกันมะเร็ง การเติมนมในชาก็ไม่ได้ผล เพราะฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเกิดจากสารแทนนิน แต่การเติมนมลงไปนมจะไปจับกับสารแทนนิน ไม่ให้ออกฤทธิ์
แม้จะมีการวิจัยต่างๆ มากมายที่ระบุว่าสาร EGCG ในคาเทซินซึ่งมีอยู่ในชาจะสามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งได้ถึง 50% แต่การทดลองบางแห่งหนึ่งก็พบว่าการ EGCG เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดมะเร็งในสัตว์อีกชนิดหนึ่ง เพราะความสลับซับซ้อนของเอมไซม์และฮอร์โมนของสัตว์ที่แตกต่างกัน ฉะนั้นการดื่มชาเพื่อสุขภาพที่แท้จริงจึงควรอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะพอดี

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7

ชาเขียว (Green Tea) เมื่อเก็บยอดอ่อนใบชาที่ยังห่อตัวอยู่เพื่อใช้ทำชาขาวไปแล้ว วันต่อๆ มาใบชาที่เหลือก็จะเริ่มบาน ถ้าเก็บใบที่สองกับใบที่สาม หมายถึงจะนำมาทำชาเขียว เมื่อเก็บใบชามาแล้วก็จะทำให้แห้ง ซึ่งจะแยกอีกว่าทำให้แห้งแบบจีนหรือแบบญี่ปุ่น ก็จะทำให้ได้ชาเขียวที่แตกต่างกันออกไปอีก ชาเขียวที่ดีของจีนยกให้กับชาเขียวหลงจิ่ง เนื่องจากภูมิอากาศ สภาพแวดล้อม ขั้นตอนการผลิต ทำให้ชาเขียวหลงจิ่งมีคุณภาพดีมาก ชาเขียวเหมาะกับการดื่มคู่อาหารจีน ถ้าดื่มตอนเช้ามีคุณประโยชน์คือช่วยล้างสารพิษในร่างกายให้ออกมากับการขับ ถ่าย ถ้าขับรถนานๆ หรือเกิดภาวะนั่งเครื่องบินนานๆ การดื่มชาเขียวสามารถช่วยปรับสภาพร่างกายให้เข้าสู่สภาวะปกติได้เร็ว

http://bangkokbiznews.com/jud/taste/20070701/news.php?news=column_23499745.html

ชาเขียว(ต่อ)

ชาเขียว อาจไม่ช่วยต้านมะเร็งเสมอไป

อาจารย์สมศรี เจริญเกียรติกุล จากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ถึงแม้ว่าจะมีการศึกษาวิจัยต่างๆ มากมายที่ระบุสว่าชามีสมบัติในการด้านการเกิดมะเร็งในสัตว์ทดลอง เช่น ที่สถาบันวิจัยในประเทศจีนพบว่า สาร EGCG สามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งในหนูทดลองที่ถูกฉีดสารกระตุ้นให้เป็นมะเร็งถึง 50 %

แต่จากการทดลองอีกแห่งหนึ่งกลับพบว่า EGCG เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดมะเร็งในสัตว์อีกชนิดหนึ่ง สาเหตุเป็นเพราะสัตว์ที่แตกต่างกันจะมีความสลับซับซ้อนของเอนไซม์และฮอร์โมนที่ต่างกันไปนั่นเอง ซึ่งทางวงการวิทยาศาสตร์ต้องพยายามหาข้อสรุปผลที่จะเกิดกับมนุษย์ต่อไป

ข้อเสียของชาเขียว

แม้ว่าชาเขียวจะมีข้อดีอยู่มาก แต่อาจารย์สมศรี ได้เตือนว่า การดื่มชามากเกินไปจะมีผลต่อโภชนาการ เพราะชาเขียว จะขัดขวางในการดูดซึมธาตุเหล็ก จึงไม่เหมาะกับผู้ป่วยที่เป็นโรคโลหิตจาง หญิงตั้งครรภ์ เด็กในวัยเจริญเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาเฟอีนในชาเขียวมีผลทำให้นอนไม่หลับ

อย. ว่าประโยชน์ของชาเขียวต่อร่างกายยังเป็นเพียงแค่หลักวิชาการ

เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2548 ศ.ดร.ภักดี โพธิศิริ เลขาธิการ อย. อธิบายว่า ตามที่ในหลายประเทศนิยมดื่มชาเขียวอย่างจีนและญี่ปุ่น มีการเผยแพร่คุณสมบัติต่างๆ ในชาเขียว เช่น มีสาร Antioxidant ต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกายทำให้อายุยืนขึ้น ฯลฯ โดยมีการตั้งสถาบันวิชาการเพื่อศึกษาเรื่องนี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวนั้น ยังเป็นเพียงแนวคิดตามหลักทางวิชาการเท่านั้นตามสารที่พบ

แต่ในทางคลินิกยังไม่เคยมีการวิจัยว่า เมื่อดื่มชาเขียวแล้วจะให้ผลดีเช่นนั้นหรือไม่ ยังไม่มีการทดลองอย่างจริงจังจึงไม่สามารถสรุปได้ และที่สำคัญสำหรับน้ำชาเขียวบรรจุขวดที่นิยมดื่มในประเทศขณะนี้เป็นเพียงน้ำชาทั่วไปเท่านั้น

คาแฟอีนในชาเขียวพร้อมดื่ม

โดยทั่วไปใบชาที่เก็บตามธรรมชาติพบสารคาแฟอีนสูงกว่ากาแฟมาก แต่ด้วยวิธีการดื่มชาจะต้องนำใบชามาชงกับน้ำก่อน จึงมีผลทำให้ปริมาณคาแฟอีนเจือจางลง จนระบุจำนวนสารคาแฟอีนไม่ได้แน่นอน ขึ้นอยู่กับปริมาณและจำนวนครั้งของการชง ผู้ดื่มชาเขียวอย่างต่อเนื่องจะได้รับผลกระทบต่อจิตประสาท เพราะคาเฟอีนจะทำให้จิตประสาทตื่นตัวนอนไม่หลับกล้ามเนื้อสั่น หัวใจสั่น และหากทำงานหนักมากอาจช็อกและเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ยิ่งควรหลีกเลี่ยงการดื่มคาแฟอีนทุกประเภท เพราะมีผลต่อความจำของเด็ก

เลขาธิการ อย. ย้ำว่าคุณสมบัติชาเขียวมีตามหลักวิชาการเท่านั้น ยังไม่มีการทดสอบอย่างจริงจัง

ในส่วนของชาเขียวพร้อมดื่ม จะมีจำนวนสารคาแฟอีนค่อนข้างต่ำ โดยในบางยี่ห้อมีการระบุไว้ที่ข้างขวด เพียง 9-16 มิลลิกรัมต่อน้ำ 100 มิลลิลิตร ถือเป็นปริมาณ สารคาแฟอีนที่ไม่มาก

ใบชาที่เก็บตามธรรมชาติ เมื่อนำมาทดสอบหาปริมาณสารคาแฟอีน จะพบว่าสูงกาแฟมาก โดยสูงถึง 15% ขณะที่ในกาแฟมีเพียงแค่ 3% แต่เนื่องจากวิธีการกินชานั้น จะต้องนำใบชามาชงกับน้ำทำให้ปริมาณคาแฟอีนเจือจางลง ซึ่งไม่สามารถระบุจำนวนสารคาแฟอีนได้แน่นอน ขึ้นอยู่กับปริมาณและจำนวนครั้งของการชง

อย. ถือว่าการลับลอบผลิตชาเขียวพร้อมดื่มที่ไม่ได้มาตรฐานคือ ไม่มีการระบุบนฉลากว่ามีส่วนผสมของคาแฟอีน เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายที่ต้องดำเนินคดี เนื่องจากอาจมีคาแฟอีน มากพอที่จะทำให้เกิดผลกระทบต่อจิตประสาทต่อผู้บริโภค

แถมขณะนี้ กรมสรรพสามิตมีแผนการเก็บภาษีเพิ่ม เนื่องจากเห็นว่าชาเขียวพร้อมดื่มเป็นเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาแฟอีนเช่นเดียวกับเครื่องดื่มกาแฟดังนั้น ในเร็ววันนี้ผู้บริโภคอาจต้องจ่ายแพงขึ้นสำหรับซื้อสินค้าตัวนี้

ดื่มน้ำชาบรรจุขวดกันต่อดีหรือไม่

เมื่อหน่วยงานที่มีหน้าที่ควบคุมเขาบอกว่าชาเขียวพร้อมดื่มเป็นน้ำชาชงดื่มแบบธรรมดาทั่วๆไป แถมตอนนี้ อย. หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังคงไม่ได้ทำวิจัยหาข้อเท็จจริงว่าในชาเขียวพร้อมดื่มมีผลทำให้ร่างกายเป็นอย่างไร ดื่มแล้วสดชื่นเสริมภูมิต้านทาน หรือประสาทกินหนักขึ้นหรือไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ต่อร่างกาย

ดังนั้น ท่านผู้อ่านที่นิยมดื่มชาเขียวบรรจุขวดเป็นประจำก็ใช้วิจารณญาณกันเอาเองก็แล้วกันว่า ดื่มน้ำชาเขียว 500 ซีซี ในแต่ละครั้งคุ้มกับเงินที่จ่ายไปขวดละ 20 บาทหรือไม่

ข้อเสียของชาเขียว

แม้ว่าชาเขียวจะมีข้อดีอยู่มาก แต่อาจารย์สมศรี ได้เตือนว่า การดื่มชามากเกินไปจะมีผลต่อโภชนาการ เพราะชาเขียว จะขัดขวางในการดูดซึมธาตุเหล็ก จึงไม่เหมาะกับผู้ป่วยที่เป็นโรคโลหิตจาง หญิงตั้งครรภ์ เด็กในวัยเจริญเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาเฟอีนในชาเขียวมีผลทำให้นอนไม่หลับ

ชาเขียวดีแบบนี้หรอครับ

แจ่มใส หายง่วง สามารถกระตุ้น ให้สมองสดชื่น
ยังช่วยในการขับปัสสาวะ โดยไปกระตุ้นไตให้ขับน้ำปัสสาวะมากขึ้น และช่วยขยายหลอดลมอีกด้วย
ในใบชาแห้งประมาณร้อยละ 20-30 โดยน้ำหนัก เป็นสารที่มีรสฝาดที่ใช้บรรเทาอาการ ท้องเสียได้ ดังนั้นหากต้องการดื่มชาเขียวให้ได้รสชาติที่ดีจึงไม่ควรทิ้งใบชาค้างไว้ ในกานานเกินไป เพราะแทนนินจะละลายออกมามาก ทำให้ชาเขียวมีรสขม แต่ถ้าหากดื่มชาเขียวเพื่อจุดประสงค์ ในการบรรเทาอาการท้องเสียก็ควรต้ม
ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ของกล้ามเนื้อหัวใจและขยายผนัง หลอดเลือด จึงทำให้ชาเขียวเหมาะสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงด้วย
สารแคซิทิน (catecihns)ซึ่งเป็นสารแทนนินชนิดหนึ่งในชาเขียว มีฤทธิ์เป็นสารต้านการเกิดมะเร็ง ชาสามารถยับยั้งการสร้างไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งรุนแรงได้ ซึ่งไนโตรซามีนนั้นเป็นสารที่เกิดจาก สารพวกดินประสิวในอาหารทำปฏิกิริยากับสารจำพวกโปรตีน ที่มีในเนื้อสัตว์และอาหารทะเลกลายเป็นไนโตรซามีนซึ่งก่อมะเร็งได้หลายชนิด ดังนั้นถ้านิยมบริโภคอาหารจำพวกเนื้อสัตว์มากก็ควรดื่มน้ำชาไปพร้อมๆ กันด้วย ก็จะช่วยลดการสร้างสารก่อมะเร็งลง
ในใบชายังมีปริมาณแร่ธาตุฟูลออไรด์สูง ซึ่งแร่ธาตุชนิดนี้เป็นส่วนในการเสริมสร้างกระดูกและฟัน ให้แข็งแรง นักวิจัยจากศูนย์ทันตกรรมฟอร์ซีธในบอสตัน ยังได้แนะนำว่า การดื่มชาตอนเช้าช่วยในการป้องกันฟันผุได้ โดยถ้าคุณแช่ถุงชาหรือใบชาไว้นาน 3 นาทีก่อนดื่ม ชาจะสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียซึ่งทำให้ฟันผุได้ถึงร้อยละ 95 จะเห็นได้ว่าการดื่มชาเขียวจึงน่าจะมีส่วนช่วยในการป้องกันฟันผุได้
ชาเขียวเป็นส่วนผสมในการปรุงแต่งกลิ่น รส ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ไอศกรีม หมากฝรั่ง (ดับ-กลิ่นปาก) และลูกอม
มีสารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียวสามารถช่วยชะลอความชราและคงความเยาว์วัยได้ (โอ้โฮ้! อะไรจะดีปานนั้น เริ่มดื่มตอนนี้ยังทันไหมเนี่ย) สารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียวไม่เพียงแต่จะมีประสิทธิภาพสูงมากกว่าวิตามินซีถึง 100 เท่า แต่ยังมีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินอีอีกถึง 25 เท่าในการทำลายอนุมูลอิสระ
ต้านโรคไขข้ออักเสบ กล่าวกันว่าชาเขียวช่วยป้องกันโรคข้ออักเสบรูห์มาติก (rheumatoid arthritis) ที่มักจะเกิดกับสตรีวัยกลางคน อาการของโรคโดยทั่วไปคือ มีอาการของการอักเสบบวมแดง ปวด เมื่อยตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ
ลดระดับคอเลสเทอรอลขณะที่กาแฟเพิ่มระดับคอเลสเทอรอล ชาเขียวกลับช่วยลดระดับ คอเลสเทอรอล สารแคเทชินในชาเขียวช่วยทำลายคอเลสเทอรอลและกำจัดปริมาณของคอเรสเทอรอลในลำไส้ แค่นั้นยังไม่พอ ชาเขียวยังช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่พอดี อีกด้วย
ช่วยลดระดับ LDL คลอเรสเตอรอล และยับยั้งการก่อตัวแบบผิดปกติของ ก้อนเลือด ซึ่งเป็นเหตุของอาการหัวใจวายและลมชัก มักมีการเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้จากการดื่มชาเข้ากับ
ควบคุมน้ำหนัก ถ้าคุณกำลังพยายามลดน้ำหนักอยู่ การจิบชาเขียวสามารถช่วยได้ดีทีเดียว จากการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์พบว่า ชาเขียวช่วยเร่งให้ร่างกายมีการเผาผลาญอาหารและไขมันมากขึ้น
ต่อสู้กลิ่นปากและแบคทีเรียในปาก การดื่มชาเขียวนอกจากจะทำให้ร่างกายอบอุ่นแล้ว ยังช่วยทำให้ลมหายใจสดชื่นและป้องกันการติดเชื้อได้ด้วย จากการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยเพส สหรัฐอเมริกาพบว่า สารสกัดจากชาเขียวมีสรรพคุณในการต่อสู้กับแบคทีเรียโดยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและทำลายจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของโรคต่างๆ อันที่จริงแล้วพบว่าชาเขียวเป็นตัวช่วยยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปากต่อสู้กับเชื้อไวรัสในปากโดยกำจัดเชื้อแบคทีเรีย
ป้องกันฟันผุ ชาเขียวมีสรรพคุณช่วยป้องกันฟันผุโดยช่วยยับยั้งแบคทีเรียที่ชื่อ Streptococcus mutans ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดหินปูนที่มาเกาะฟัน รวมทั้งยังช่วยยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกลิ่นปาก

21 มิถุนายน 2553

ฝึกงานสัปดาห์สุดท้ายครับ

วันอังคาร ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2553
-รับโทรศัพท์ประสานงาน
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-พิมพ์ใบยืมเงิน
วันพุธ ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2553
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-พิมพ์งานตามสั่ง - ถ่ายเอกสาร
-ติดต่อราชการภายในหน่วย
วันพฤหัสบดี ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ.2553
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-แก้ไขงาน
-พิมพ์งานตามสั่งฯ
วันศุกร์ ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2553
-ส่งหนังสือนอกหน่วยทั้งเช้า – บ่าย
-พิมพ์ข่าวถึงหน่วยอื่น
-ถ่ายเอกสาร - ประสานงานทางโทรศัพท์ - เข้าเวรรักษาการณ์
วันจันทร์ ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ.2553
-ออกเวรรักษาการณ์
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-พิมพ์คำสั่งให้พาหนะและพลขับไปปฏิบัติราชการ
-รับหนังสือทางระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ทร.
-ประสานงานทางโทรศัพท์
วันอังคาร ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2553
-พิมพ์งานตามสั่งฯ
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-พิมพ์คำสั่งให้พาหนะและพลขับไปปฏิบัติราชการ
-รับหนังสือทางระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ทร.
วันพุธ ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2553
-รวบเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-รับหนังสือทางระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ทร.
-ถ่ายเอกสาร
-ซื้อของใช้ภายในสำนักงาน
วันพฤหัสบดี ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ.2553
-ขออนุญาตร่วมพิธีไหว้ดนตรีและนาฏศิลป์ ที่ รร.ดย.ทร.ฐท.กท.
-รับหนังสือทางระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ทร.
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-รับโทรศัพท์
วันศุกร์ ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2553
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-พิมพ์คำสั่งให้พาหนะและพลขับไปปฏิบัติราชการ
-ติดต่อราชการนอกหน่วย และซื้ออุปกรณ์เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
-ถ่ายเอกสาร
-รับหนังสือทางระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ทร.

สวัสดีวันจันทร์คับ

สวัสดีวันจันทร์ครับอาจารย์พรทิพย์

18 มิถุนายน 2553

ฝึกงาน (ต่อ)

วันจันทร์ ที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-พิมพ์งานด่วนตามสั่งฯ - ถ่ายเอกสาร
-ติดต่อประสานงานภายในหน่วย
-ซื้อของใช้ภายในสำนักงาน
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันอังคาร ที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-พิมพ์งานตามสั่งฯ
-ส่งหนังสือ (ลับ) นอกหน่วย
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ
วันพุธ ที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-ถ่ายเอกสาร
-พิมพ์คำสั่งให้พาหนะและพลขับไปปฏิบัติราชการ
-พิมพ์งานตามสั่งฯ
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันพฤหัสบดี ที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓ (วันพืชมงคล)
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันศุกร์ ที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-ถ่ายเอกสาร - ติดต่อราชการภายในหน่วย
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันเสาร์ ที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันอาทิตย์ ที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
-ทำความสะอาดของใช้ในสำนักงาน
วันที่ ๑๗ และ ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓ (รัฐบาลประกาศเป็นวันหยุด)
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันพุธ ที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓(รัฐบาลประกาศเป็นวันหยุด)
-ร่วมพิธีวางพวงมาลาเนื่องในวันอาภากร ที่ กองรถยนต์ฯ
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันพฤหัสบดี ที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓ (รัฐบาลประกาศเป็นวันหยุด)
-รับโทรศัพท์ประสานงาน
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันศุกร์ ที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓ (รัฐบาลประกาศเป็นวันหยุด)
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-พิมพ์คำสั่งให้พาหนะและพลขับไปปฏิบัติราชการ
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันเสาร์ ที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันอาทิตย์ ที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันจันทร์ ที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-พิมพ์ใบยืมเงิน
-ส่งหนังสือ (ลับ) ภายใน ทร.
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันอังคาร ที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-พิมพ์ใบยืมเงิน
-ส่งหนังสือภายในหน่วย
-ซื้อของใช้ภายในสำนักงาน
-ยกเลิกสถานการณ์ฯ
วันพุธ ที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-รับหนังสือทางระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ทร.
-ฟังบรรยายการฝึกอาชีพอิสระ
วันพฤหัสบดี ที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-พิมพ์ตามสั่งการฯ
-ถ่ายเอกสาร
วันศุกร์ ที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓ (วันวิสาขบูชา)
วันจันทร์ ที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-ถ่ายเอกสาร
-พิมพ์ตามสั่งฯ

สวัสดีเช้าวัน

สวัสดีเช้าวันศุกร์ครับอาจารย์พรทิพย์

17 มิถุนายน 2553

สวัสดีบ่ายวันพฤหัส

สวัสดีบ่ายวันพฤหัสบดี ครับ อาจารย์พรทิพย์

16 มิถุนายน 2553

วันอาทิตย์ ที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
-ล้างทำความสะอาดของใช้ภายในสำนักงาน
วันจันทร์ ที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-พิมพ์งานด่วนตามสั่งฯ - ถ่ายเอกสาร
-ติดต่อประสานงานภายในหน่วย
-ซื้อของใช้ภายในสำนักงาน
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันอังคาร ที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-พิมพ์งานตามสั่งฯ
-ส่งหนังสือ (ลับ) นอกหน่วย
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ
วันพุธ ที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-ถ่ายเอกสาร
-พิมพ์คำสั่งให้พาหนะและพลขับไปปฏิบัติราชการ
-พิมพ์งานตามสั่งฯ
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันพฤหัสบดี ที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓ (วันพืชมงคล)
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันศุกร์ ที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-ถ่ายเอกสาร - ติดต่อราชการภายในหน่วย
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันเสาร์ ที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันอาทิตย์ ที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
-ทำความสะอาดของใช้ในสำนักงาน

เบญจกัลยาณี

ลักษณะของเบญจกัลยาณีอธิบายตามความคิดเห็นของท่านผู้รู้แต่โบราณว่า
ผมงาม หมายถึง เรือนผมเป็นเงางามดุจกับหางนกยูง
ทรงผมสตรีแต่ก่อนคงจะนิยมดัดปลายงอน ท่านจึงพรรณาว่า เมื่อปล่อยย้อยยาวถึงชายผ้านุ่ง แล้วกลับมีปลายงอนขึ้นตั้งอยู่ สมัยนี้เห็ยจะกำหนดตามนี้ไม่สำเร็จ จะให้ดำเป็นเงางามหรืองอนขึ้นหรุบลงทำไม่ยาก ถึงไม่มีผมจะงามเลย ก็หาผมปลอมใส่ได้งามทันใจในพริบตา
เนื้องาม หมายถึง ริมฝีปากงาม เช่นกับผลตำลึง
คงหมายความว่ามีสีแดงดุจผลตำลึงสุก สาวยุคนี้อย่าว่าแต่สีผลตำลึงสุกเลย จะให้เป็นสีผลอะไรก็ได้ สีทาปากทำไว้พร้อมเสร็จ สีมะละกอ สีลิ้นจี่ หรือสีทับทิมออกคล้ำ ออกม่วง ออกเหลือง มีให้เลือกตามใจชอบ
กระดูกงามหมายถึง มีฟันขาวเรียบดุจสังข์ที่ขัดดีแล้ว
ฝรั่งไม่เคยเห็นสังข์และไม่รู้ค่า จึงเปลี่ยนให้เป็นไข่มุกแทนฟันเป็นอย่างเดียวที่ขัดสีปานใด ก็ไม่อาจขาวเงางามเรียบได้ถ้าสุขภาพฟันไม่มีเป็นปฐม ยาเคลือบฟันให้ขาวพอใช้ได้ชั่วครั้งชั่วคราว
ผิวงาม คือละเอียดอ่อน
สีผิวไม่สำคัญ ผิวดำก็สวยได้ ถ้าเกลี้ยงเกลามีเลือดฝาดสมบูรณ์
วัยงาม หมายถึง เนื้อหนังเต่งตึงอยู่จนแก่
ตำนานเรื่องนางวิสาขา ผู้สร้างปุพพรามปราสาทถวายเป็นวัดครั้งพุทธกาลชมนางวิสาขาว่าวัยงามนักหนา นางมีบุตรชาย 10 บุตรหญิง 10 บุตรชายหญิงมีบุตรชายหญิงอีกคนละ 10 ตลอดชีวิตของนางมีบุตรหลายถึง 8,420 คน นางวิสาขาไปที่ใด บุตรหลานห้อมล้อมไปเป็นหมู่ ผู้คนดูไม่ออกว่าคนไหนคือนางวิสาขา เพราะเห็นเป็นหนุ่มเป็นสาวเสมอเหมือนกันหมด นางวิสาขามีอายุยืนถึง 120 ปี และเป็นลูกสาวเศรษฐี ได้กินอิ่ม นอนหลับเต็มที่ ประกอบกับใจบุญด้วย จึงงามทั้งกายใจ
ความงาม 5 ประการนั้น ต้องการรากฐานจากธรรมชาติ งาม 4 ประการแรก ทำให้เกิดความงามประการสุดท้าย จะให้งามนอกต้องทำให้งามในได้ก่อน ^^
เครื่องสำอางโปะปะไว้เสริมสวยได้ชั่วครู่ชั่วยาม สู้กินให้สวยไม่ได้ ประจวบกับอาหารหลักของคนไทย ก็มี 5 หมู่ ตรงตัวเลขกันเลยจำได้ง่ายว่า กินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ เพื่อความเป็นเบญจกัลยาณี

ที่มา: หนังสือ คิดอย่างผู้หญิง โดย สมศรี สุกุมลนันทน์

ปลาได้ยินเสียง

เคยไหมที่เวลาเราให้อาหารหรือเปลี่ยนน้ำให้กับปลา ก็อดที่จะพูดคุยกับปลาไม่ได้
เพราะการคุยกับสัตว์เลี้ยงนั้นเป็นการสื่อสารถึงความรักที่คุณมีให้แก่เขา
แต่กับปลาล่ะ เวลาที่เราพูดด้วยนั้นเขาจะได้ยิน และเข้าใจที่เราพูดด้วยหรือเปล่า
ถ้าบอกว่าปลาสามารถได้ยินเสียง ก็คงมีคนถามต่ออีกว่า แล้วไหนล่ะหูของปลา
เนื่องจากปลาไม่มีหูส่วนนอกหรือใบหูให้เห็น แต่จริงๆ แล้วปลานั้นได้ยินเสียง
จากภายนอก โดยใช้เส้นข้างลำตัวมาทำหน้าที่ในการรับเสียง จากนั้นก็ส่งสัญญาณ
ต่อไปสู่หูชั้นในซึ่งมีหน้าที่รับเสียง และส่งสัญญาณต่อไปยังสมองในการรับรู้
และยังเป็นการรักษาสมดุลในการทรงตัว เช่นเดียวกับมนุษย์
ทว่าความเข้าใจนั้น ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องบอกว่าปลาไม่มีวันเข้าใจภาษาใดๆ ในโลก
หรือแม้แต่ภาษาของปลาด้วยกันเอง เพราะปลานั้นมีสมองเล็กมากประมาณ
เมล็ดถั่วเขียว และมีความจำที่สั้นมากๆ เหมือนที่เราเรียกคนมีความจำสั้นว่า
สมองปลาทอง ดังนั้น ปลาจึงดำรงชีพอยู่ด้วยความรู้สึก


ที่มา: นิตยสาร Lisa vol.6 no.4 วันที่ 27.1.2005

ไว้ทุกข์ใช้สีไร

การไว้ทุกข์ในสมัยก่อนนั้นมีอยู่หลายอย่างต่างชนิด คือ
1. สีดำ สำหรับผู้ใหญ่หรือผู้ที่มีอายุแก่กว่าผู้ตาย
2. สีขาว สำหรับผู้เยาว์หรือผู้ที่มีอายุอ่อนกว่าผู้ตาย
3. สีม่วงแก่หรือน้ำเงินแก่ สำหรับผู้ที่มิได้เป็นญาติเกี่ยวดองกับผู้ตายแต่ประการใด
ฉะนั้นในงานศพคนหนึ่งๆ หรือในงานเผาศพก็ตาม เราจะได้ความรู้ว่า
ใครเป็นอะไรกับใครเป็นอันมาก เพราะผู้ที่แต่งตัวตัวไปในงานนั้นๆ จะต้องรู้เรื่องราว
เกี่ยวข้องกับตัวเองโดยถูกต้องจึงจะแต่งสีให้ถูกได้ ถ้าผู้ใดแต่งสีและอธิบายไม่ได้
ก็มักจะถูกดูหมิ่นว่าเป็นผู้ไม่มีความรู้ แม้เรื่องเลือดเนื้อของตัวเอง

ของทุกอย่างมีดีก็ต้องมีเสีย แต่ก่อนก็ดีที่ได้รู้จักกันว่าใครเป็นใคร แต่ก็ลำบาก
ในการแต่งกายเป็นอันมาก ถ้าจะต้องไปพร้อมกัน 2 ศพในวันเดียวกัน ก็จะต้อง
กลับบ้านเพื่อไปผลัดสีให้ถูกต้องอีก

ฉะนั้นในการที่มาเลิกสีอื่นหมด ใช้สีดำอย่างเดียวเช่นทุกวันนี้
ก็สะดวกดี แต่ก็ขาดความรู้จักกัน เด็กสมัยนี้จึงมักจะตอบเรื่อง
พืชพันธุ์ของตัวเองไม่ได้ แม้เพียงปู่ก็ไม่รู้เสียแล้วว่าเป็นใครและ
ได้ทำอะไรเหนื่อยยากมาเพียงใดบ้าง แต่ถ้าจะพูดกันถึงเพียง
ความสะดวกแล้ว การแต่งตัวสีดำเพียงสีเดียวก็ดีแล้ว

ที่มา : หนังสือ สารคดี ของ ม.จ.หญิง พูนพิศมัย ดิศกุล

ป้องกันรังแค

สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องรังแค ให้นำว่านหางจระเข้มาปอกเปลือก เอาแต่เนื้อ
มาผสมกับน้ำสะอาด และคั้นจนเป็นฟองคล้ายแชมพู นำมานวดให้ทั่วศรีษะ
ทิ้งไว้ 1/2 - 1 ชั่วโมง แล้วล้างออก จากนั้นสระผมตามปกติ
แล้วปัญหาเรื่องรังแคจะเบาบางลง


ที่มา: คอลัมน์เคล็ด(ไม่)ลับจากคนทางบ้าน

หัวไซเท้า

สำหรับคนที่ต้องทำงานอยู่ท่ามกลางแสงแดด อาจทำให้ใบหน้าเป็นกระได้
ให้นำหัวไชเท้ามาฝานเป็นชิ้นบางๆ แล้วนำมาถูที่หน้าสัก 5 นาที
ทำบ่อยๆจะช่วยให้กระที่ใบหน้าจางลงได้


ที่มา: คอลัมน์เคล็ด(ไม่)ลับจากคนทางบ้าน

อริยบุคคล

พระอริยบุคคล หมายถึง บุคคลผู้ประเสริฐ ทางพุทธศาสนาถือว่าความเป็น
พระอริยบุคคลนั้น กำหนดได้ด้วยการละสังโยชน์ (กิเลสที่ผูกมัดสัตว์) ไว้ในภพ
ใครละได้น้อยก็เป็นอริยบุคคลชั้นต่ำ เมื่อละได้มากก็เป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงขึ้น
ใครละได้หมดก็เป็นพระอรหันต์ สังโยชน์มี 10 อย่าง เทียบตามส่วนที่พระอริยบุคคล
ละได้เป็นลำดับดังนี้
1. พระโสดาบัน ละสิ่งดังต่อไปนี้
1) สักกายทิฏฐิ - ความเห็นว่าร่างกายเป็นของตน
2) วิจิกิจฉา - ความสงสัยว่าพระวัตนตรัยดีจริงหรือ
3) ศีลพตปรามาส - การเชื่อพิธีกรรมทางไสยศาสตร์
เมื่อบรรลุเป็นพระโสดาบัน ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ
แล้วจะบรรลุนิพพาน คือพระอรหันต์

2. พระสกทาคามี ละขั้นพระโสดาบัน แต่จิตคลายจากราคะ โทสะ
และโมหะมากขึ้น เมื่อบรรลุเป็นพระสกทาคามี จะเกิดอีกครั้งเดียว

3. พระอนาคามี ละขั้นพระโสดาบัน พระสกทาคามี และรวมอีก 2 คือ
4) กามราคะ - ความติดใจในกามารมณ์
5) ปฏิฆะ - ความขัดเคืองใจ
เมื่อบรรลุเป็นพระอนาคามี จะเลิกครองเรือน ประพฤติพรหมจรรย์
ตายแล้วจะไปเกิดในพรหมโลก

4. พระอรหันต์ ละขั้นพระโสดาบัน พระสกทาคา พระอนาคามี และรวมอีก 5 คือ
6) รูปราคะ - ความติดใจในรูป เช่นชอบของสวยงาม
7) อรูปราคะ - ติดใจในของไม่มีรูป เช่นความสรรเสริญ
8) มานะ - ความยึดถือว่าตัวเป็นนั่นเป็นนี่ เช่นติดในสมณศักดิ์
9) อุทธัจจะ - ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ไม่สงบใจ
10) อวิชชา - ความไม่รู้อริยสัจสี่
เมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์ หากสิ้นชีวิตแล้วจะไม่เกิดอีก

ที่มา: หนังสือ ความรู้สารพัดชื่อ ด้านภาษา วัฒนธรรมไทย
และสังคมศึกษา เรียบเรียงโดย สมบัติ จำปาเงิน

คุยมากฉลาดมาก

เด็กๆ จะเฉลียวฉลาดได้มากน้อยแค่ไหน การพูดคุยปฏิสัมพันธ์ของพ่อแม่
หรือผู้ดูแลเด็กจะมีส่วนสนับสนุนส่งเสริมให้กับพวกเขาได้มาก ที่เป็นเช่นนี้
นักวิชาการจิตวิทยาชาวแคนาดาอธิบายว่า..
การพูดคุยกับเด็กบ่อยๆ โดยเฉพาะในเรื่องที่มีสาระที่เด็กควรจะฟัง
จะช่วยเพิ่มพูนความรู้ ความเข้าใจ ช่วยกระตุ้น ให้สมองของเด็กๆ
เกิดพัฒนาการและการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น โดยทำให้พวกเขารู้จักที่จะจดจำ
และรับฟังความคิดเห็น รวมไปถึงรู้จักแสดงความคิดเห็นของตัวเองด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นการพูดคุยกันมากขึ้น ยังสามารถช่วยสร้างสัมพันธภาพที่ดี
ให้เกิดขึ้นภายในครอบครัวได้อีกต่างหาก
ที่มา: นิตยสาร Lisa vol.6 no.11 วันที่ 17.3.2005

ชาป้องกันอัลไซเมอร์

ข่าวดีสำหรับผู้ป่วยอัลไซเมอร์ทุกท่าน ที่ต่อไปไม่ต้องทานยาเยอะๆ อีกต่อไปแล้ว
เพราะแค่คุณดื่มชาวันละแก้ว ก็สามารถยับยั้งการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้
ดร. เอ็ด โอเคลโล่ แห่งศูนย์วิจัยสมุนไพร มหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ทางตะวันออก
เฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ ได้รายงานผลการวิจัยว่า การที่คุณดื่มชาเขียว
หรือชาดำวันละ 1 ถ้วยทุกวัน สามารถยับยั้งการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ เพราะ
ในชาเขียว และชาดำ มีสารที่ช่วยยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาของเอ็นไซม์ที่ก่อให้เกิด
โรคอัลไซเมอร์ นอกจากนี้การดื่มชาเขียวยังสามารถป้องกันการเกิดปฏิกิริยาเบต้า-
ซีเครเทส (Beta-secretase) ที่เป็นขั้นตอนในการผลิตตะกอนโปรตีนในสมอง
อันเป็นสาเหตุของการป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ แต่คุณจะต้องดื่มชาเขียวอย่างน้อย
1 อาทิตย์ถึงจะเห็นผลดี แต่หากคุณดื่มชาดำเพียงแค่ 1 วันคุณก็สามารถเห็นผล
ได้เร็วกว่าการดื่มชาเขียวหลายเท่า

ถึงแม้ว่าแพทย์จะไม่สามารถรักษาโรคอัลไซเมอร์ให้หายได้ แต่จากการวิจัยเรื่อง
การดื่มชา ก็สามารถยับยั้งและลดภาวะเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ ราคาถูก
ผลข้างเคียงก็ไม่เกิด "ดื่มชาย่อมดีกว่าการรับประทานยานะคะ"

ที่มา : คอลัมน์ Living Beware นิตยสาร ใกล้หมอ
ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2549 ปีที่ 30 ฉบับที่ 11

สวยด้วยคอลาเจน

คอลลาเจน คือ โปรตีนที่เป็นส่วนประกอบหลักของผิวหนังของร่างกาย
ซึ่งสานกันเป็นเครือข่ายชั้นผิวหนัง และเป็นโปรตีนสำคัญต่อความแข็งแรง
ของผนังหลอดเลือด และช่วยสร้างความตึงกระชับให้ผิว โดยจะทำงานร่วมกับ
โปรตีนอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า อีลาสติน
ปัจจัยที่ทำให้เกิดการสลายตัวของคอลลาเจน คือ อนุมูลอิสระที่เกิดจากมลพิษต่างๆ
เช่น บุหรี่ แสงแดด สารปนเปื้อนในอาหาร และจากการเผาผลาญอาหารในร่างกาย
ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย และเมื่ออายุ 20 ปีขึ้นไป
การผลิตคอลลาเจนในร่างกายจะลดลงเรื่อยๆ ตามอายุที่เพิ่มขึ้น เมื่อขาดคอลลาเจน
ผิวพรรณที่เคยเต่งตึงจะเริ่มหย่อนคล้อย มีริ้วรอยเพิ่มมากขึ้น ความยืดหยุ่น
และความชุ่มชื้นของผิวลดลง

การเติมคอลลาเจนให้กับผิวเพื่อหวังผลในการชะลอริ้วรอย ในวงการแพทย์สามารถ
ทำได้โดยการฉีดคอลลาเจนโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ส่วนในเครื่องสำอางก็มีการนำ
คอลลาเจนไปผสม สังเกตได้จากฉลากที่ระบุส่วนผสมของ ไฮโดรไลซ์
คอลลาเจนไฮโดรไลซ์ อีลาสติน โปรคอลลาเจน เอเอชเอ

นอกจากนั้นการรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ
ซึ่งจะช่วยชะลอการสลายตัวของคอลลาเจน
และช่วยลดการเกิดมะเร็งในร่างกายอีกด้วย
สารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ก็ได้แก่ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี วิตามินอี ซึ่งเป็นสารที่มีประสิทธิภาพสูง
ในการกำจัดอนุมูลอิสระมีคุณสมบัติเพิ่มความแข็งแรง
ของเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอีลาสติน

ที่มา : คอลัมน์ Living Beware นิตยสาร ใกล้หมอ
ปีที่ 30 ฉบับที่ 12 เดือนธันวาคม 2549

เด็กไม่เอาถ่าน

เด็กที่วันๆ เอาแต่เล่นเกมส์ออนไลน์ ไม่อ่านหนังสือเรียน การบ้านก็ไม่ทำ งานบ้านก็ไม่เคยคิดจะหยิบจับช่วยเหลือพ่อแม่ ทานอาหารแล้วไม่รู้จักล้างจานชาม เหล่านี้ล้วนเป็นตัวอย่างพฤติกรรมของ "เด็กไม่เอาถ่าน"

ทำไมจึงเรียก "เด็กไม่เอาถ่าน" คาดกันว่าคำนี้มีที่มาจากคำเดิม คือ "เหล็กไม่เอาถ่าน" เพราะในสมัยก่อนนั้น การหลอมเหล็กหรือตีอาวุธจากเหล็กให้แข็งแกร่งนั้น จำเป็นต้องใช้ถ่านในการก่อเปลวไฟจนลุกโชน เพื่อให้ความร้อนแก่เหล็ก แล้วถ่านหรือคาร์บอนจะแทรกตัวเข้าไปอยู่ในเนื้อเหล็กหลังจากการถลุง ถ้าเหล็กไม่มีถ่านผสมอยู่เลย เหล็กนั้นจะมีคุณภาพต่ำ ไม่แข็งและเหนียวพอที่จะเรียกว่า เหล็กกล้า แต่หากมีมากเกินไปจะทำให้เหล็กเปราะ เหล็กที่ดีควรมีคาร์บอนเข้าไปผสมอยู่ประมาณ 0.1 - 1.8%

ช่างตีอาวุธจากเหล็กในสมัยโบราณ จำเป็นต้องคิดค้นหากลวิธี เพื่อขจัดปัญหาดาบหัก เพราะแสดงถึงกรรมวิธีการผลิตที่ไม่ดีทำให้เหล็กไม่เอาถ่าน จนกลายเป็นคำพูดติดปาก เปรียบเทียบนิสัยคนกับอาวุธว่า "เหล็กไม่เอาถ่าน"

ที่มา : หนังสือ ภาษาคาใจ ภาค 3 ถอดรหัสภาษาไทยที่ยัง 'ค้างคาใจ' เขียนโดย สังคีต จันทนะโพธิ

ไวน์ป้องกันฟันผุ

เคยรู้กันว่าดื่มไวน์ช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง และโรคหัวใจ แต่ข้อมูล
จากงานวิจัยของ ศ.กาเบรียลลา กาซซานี(Gabriella Gazzani)
มหาวิทยาลัยพาเวีย(University of Pavia) ประเทศอิตาลี ในวารสาร
American Journal of Agricultural and food Chemistry พบว่า
การดื่มไวน์ขาว หรือไวน์แดงวันละ 1 แก้วเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยง
ในการเกิดฟันผุ โรคเหงือก และช่วยรักษาอาการเจ็บคอ
เนื่องจากส่วนผสมในไวน์จะทำหน้าที่เปรียบเสมือนตัวยับยั้งไมโครแบคทีเรีย
ประเภท Streptococci ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดฟันผุ และแบคทีเรีย
ที่อาศัยอยู่ในช่องทางเดินหายใจ และยังช่วยยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย
ชื่อ S.pyogenes ที่อาศัยอยู่ในช่องทางเดินหายใจ ซึ่งสามารถก่อให้เกิด
อาการเจ็บคอและเป็นไข้ได้
ที่มา : นิตยสาร Health & Cuisine ปีที่ 7
ฉบับที่ 81 ตุลาคม 2550, American Journal
of Agricultural and Food Chemistry

ข้าวโพดช่วยได้เหมือนกัน

ผลงานวิจัยในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกา ตีพิมพ์ผลงานของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐอเมริกาว่า ข้าวโพดหวานที่ต้มสุกแล้ว จะมีฤทธิ์ในการล้างพิษภายในร่างกายได้สูงกว่าปกติ
ในข้าวโพดหวานตามธรรมชาติ จะมีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) อยู่ และมีตัวที่สำคัญคือ กรดเฟรุลิก (Felrulic Acid) จึงถูกใช้สำหรับต่อต้านการแก่ (aging) ป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง โรคหัวใจ ไข้หวัด รักษาสุขภาพของกล้ามเนื้อ ต่อต้านผลกระทบจากรังสีอัลตราไวโอเลต (จึงป้องกันมะเร็งผิวหนังได้)
จากผลการวิจัยพบว่า การต้มข้าวโพดที่ 115 องศาเซลเซียส มีผลดังนี้ เวลาที่ใช้ในการต้ม ปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระ ปริมาณของกรดเฟรุลิก
10 นาที เพิ่มขึ้น 22% เพิ่มขึ้น 240%
25 นาที เพิ่มขึ้น 44% เพิ่มขึ้น 550%
50 นาที เพิ่มขึ้น 53% เพิ่มขึ้น 900%
ทำให้สรุปได้ว่า ข้าวโพดหวานที่ผ่านการต้มหรือปิ้ง
มีปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระ และกรดเฟรุลิก
ซึ่งมีประโยชน์สำหรับร่างกายเพิ่มมากขึ้น
เมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือเป็นเวลานานขึ้น
แต่จะสูญเสียวิตามินบางตัว เช่น วิตามินซี ไปบ้าง
อย่างไรก็ตามข้าวโพดก็ไม่ใช่แหล่งที่ดีสำหรับ
วิตามินซีอยู่แล้ว

ที่มา : นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 31 ฉบับที่ 6 เดือนกรกฎาคม 2550,

ดื่มกาแฟ

ผลการศึกษาหลายฉบับเมื่อไม่นานมานี้แนะว่า การบริโภคกาแฟในปริมาณที่พอเหมาะ
ให้ผลดี ดังตัวอย่างเช่น.. งานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสารสมาคมแพทย์อเมริกาพบว่า
คนที่ดื่มกาแฟวันละ 3 แก้ว มีโอกาสเกิดโรคพาร์คินสันน้อยลงถึง 5 เท่า
การศึกษาของวิทยาลัยสาธารณสุขฮาร์วาร์ดพบว่า ผู้ชายที่ดื่มกาแฟเกินวันละ 6 แก้ว
ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ราวร้อยละ 50 ขณะความเสี่ยงนี้
ในผู้หญิงลดลงเกือบร้อยละ 30

สถาบันมะเร็งของญี่ปุ่นกล่าวว่าการดื่มกาแฟวันละ 3 - 4 แก้ว อาจลดความเสี่ยง
ต่อโรคมะเร็งตับลงถึงครึ่งหนึ่ง

แต่สมาคมโรคเบาหวานอังกฤษเตือนว่าอย่าดื่มเกินกว่านี้
เพราะการดื่มมากเกินไปอาจทำให้คุณรู้สึกกระวนกระวาย นอนไม่หลับ
และหญิงตั้งครรภ์ไม่ควรดื่มเกินวันละ 2 แก้ว

ที่มา : คอลัมน์ สาระรอบรู้ อาหาร จากนิตยสาร
สรรสาระ Reader's Digest

น้ำสะอาดจากตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ

จากการลงพื้นที่ตรวจความสะอาดของตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ 50 เขตในกรุงเทพฯ
ของหน่วยตรวจสอบเคลื่อนที่เพื่อความปลอดภัยด้านอาหาร คณะกรรมการอาหาร
และยา (อย.) พบว่า.. จุลินทรีย์ไม่ผ่านเกณฑ์ เนื่องจากพบแบคทีเรียอีโคลาย
คิดเป็น 0.57% และพบแบคทีเรียโคลิฟอร์มที่เป็นจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดอาการท้องร่วง
เช่นเดียวกับแบคทีเรียอีโคลายคิดเป็น 5.43% ของตัวอย่างน้ำที่ตรวจ
แบคทีเรียดังกล่าวไม่ควรพบในน้ำดื่ม แต่หากนำน้ำนั้นไปต้มก่อนดื่มก็จะไม่เป็นอันตรายกับผู้บริโภค
ตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญเป็นแหล่งที่ให้บริการน้ำดื่มในราคาย่อมเยา และอำนวย
ความสะดวกแก่ผู้อาศัยในย่านนั้น ซึ่งความสะอาดของน้ำดื่มไม่สามารถวัดได้
ด้วยตาเปล่า และนอกจากการนำน้ำดื่มที่ได้จากตู้ไปต้มก่อนดื่ม เพื่อเพิ่มความปลอดภัย ในฐานะที่เราเป็นผู้บริโภคก่อนซื้อน้ำดื่มจากตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญในครั้งต่อไป
ได้อย่างสะอาด และมีคุณภาพ ควรสังเกตตู้น้ำดื่มก่อนหยอดเหรียญดังนี้

บริเวณถาดรองน้ำ หัวจ่ายน้ำของตู้น้ำดื่มนั้นสะอาดหรือไม่ มีฝาปิดมิดชิด
หรือไม่ และไม่ควรตั้งอยู่กลางแจ้ง เพราะแสงแดดจะทำให้ตะไคร่
ขึ้นภายในหัวจ่ายน้ำ
สังเกตสติ๊กเกอร์บอกวันและเวลาที่ระบุว่าบริษัทเจ้าของตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ
ได้เปลี่ยนไส้กรอง หรือตรวจคุณภาพครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
หลังจากกดหรือรองน้ำให้สังเกตสีของน้ำดื่มว่าใส ไม่มีกลิ่น
หรือรสชาติผิดปกติ
หมั่นล้าง และทำความสะอาดขวดบรรจุน้ำก่อนกดซื้อตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ
ที่มา : นิตยสาร Health Today ปีที่ 7 ฉบับที่ 80

การใช้สายตา

นอกจากรับประทานอาหารที่เหมาะสมเพียงอย่างเดียว คงไม่เพียงพอสำหรับการดูแล
ดวงตาของคุณให้สวยใสอยู่เสมอ แต่คุณต้องใส่ใจและถนอมดวงตาของคุณไว้
เพื่อให้อยู่กับคุณไปนานๆ โดยการใช้สายตาอย่างถูกต้องและเหมาะสม ดังนี้

• อ่านหนังสือในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ และถือหนังสือห่างจากดวงตา
ประมาณ 1 ฟุต ไม่ควรอ่านหนังสือเป็นเวลาติดต่อกันนานๆ
ควรพักสายตาประมาณ 30-45 นาที เมื่อคุณรู้สึกปวดเมื่อยตา
• ดูโทรทัศน์ในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ และควรนั่งห่างจากจอโทรทัศน์
ประมาณ 5 เท่าของขนาดโทรทัศน์
• ไม่ควรจ้องมองพระอาทิตย์เป็นเวลานานๆ
• ควรสวมแว่นตาทุกครั้งที่ต้องออกไปสัมผัสกับแสงแดด หรือขับขี่รถยนตร์
• หลีกเลี่ยงการมองหรือจ้องคลื่นแม่เหล็กจากเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น
เตาไมโครเวฟ เครื่องถ่ายเอกสาร ฯลฯ
• เวลาที่เศษผงเข้าตา ห้ามขยี้ตาเด็ดขาด แต่ให้คุณล้างตาด้วยน้ำสะอาด
หรือหยอดน้ำยาล้างตาแทน
• ทุกครั้งที่ลงเล่นน้ำในสระว่ายน้ำ ควรสวมใส่แว่นตาว่ายน้ำทุกครั้ง
เพื่อป้องกันคลอรีนหรือเศษผงเข้าตา
• ควรระมัดระวังการละเล่นหรือทำกิจกรรมต่างๆ ที่จะก่อให้เกิดอันตราย
ต่อดวงตา
• เมื่อรู้สึกปวดเมื่อยตา ไม่ควรกดนวดดวงตา หรือกรอกดวงตาไปมา
แต่ควรหลับตาประมาณ 20 -30 นาที
• ไม่ควรใช้ผ้าเช็ดหน้า แว่นตา ยาหยอดตา ร่วมกับผู้อื่น
• คุณควรปิดไฟนอน เพื่อเป็นการพักสายตา และยังช่วยประหยัดไฟได้อีกด้วย
• ในกรณีที่สารเคมีเข้าตา ควรล้างตาด้วยน้ำสะอาด แล้วไปพบจักษุแพทย์โดยด่วน
• คุณควรไปตรวจวัดสายตาเป็นประจำ อย่างน้อยปีละครั้ง

ความยาวของนิ้วนาง อาจทำนายความสำเร็จของฐานะทางการเงินได้

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ ทำการศึกษากับกลุ่มตัวอย่าง
คือ ชาย 44 คนที่ทำงานเป็นเทรดเดอร์ผู้เชี่ยวชาญในเมืองลอนดอน และทำรายได้
มากกว่า 4 ล้านยูโร (มากกว่า 200 ล้านบาท) ต่อปี พบว่าเป็นผู้ที่มีนิ้วนางยาวกว่านิ้วชี้

ปริมาณของฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนที่ได้รับขณะอยู่ในครรภ์นั้น มีผลกับลักษณะ
เฉพาะตัวบุคคลบางอย่าง เช่น ความมั่นใจ, ความสามารถในการรับมือกับความเสี่ยง,
ความรอบคอบเป็นพิเศษ, ปฏิกริยาโต้ตอบที่รวดเร็ว และ จึงเป็นเหตุผลสนับสนุน
ว่าผู้ที่มีนิ้วนางยาวกว่านิ้วชี้นั้น จะประสบความสำเร็จในการหาเงินได้มากกว่า
แม้ว่า.. ผู้ที่มีนิ้วนางยาวกว่านิ้วชี้นั้นมีแนวโน้มหารายได้เข้ากระเป๋าได้เก่งกว่า
แต่ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในการทำงานด้วย เปรียบเหมือนการมีพรสวรรค์มากกว่า
ไม่ได้แปลว่าจะต้องประสบความสำเร็จเหนือกว่าผู้ที่ฝึกฝนมากกว่าเสมอไป

ที่มา : นิตยสาร Lisa Vol.10 No.4,

ครีมกันแดด

อากาศร้อน และแดดแรง อย่างประเทศไทย ครีมกันแดดจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็น
สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพผิว เมื่อต้องเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับตัวเอง
มองดูฉลากข้างกล่องแล้วก็มีศัพท์ที่น่าสนใจ ให้เราต้องเลือกดังนี้

1. "SPF" ย่อมาจาก Sun Protection Factor เป็นค่าในการชี้วัดว่าเราสามารถ
อยู่กลางแสงแดดได้นานแค่ไหน โดยที่ไม่รู้สึกร้อนหรือแสบบริเวณผิว เช่น
ถ้าเรามีผิวที่แพ้แสงแดดและแสบร้อนง่ายในเวลา 20 นาที ครีมกันแดดที่มี SPF 15
จะช่วยปกป้องเราจากแสงแดดได้นาน 15 เท่า และเมื่ออยู่กลางแดดมากๆ ควรเลือก
ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงขึ้น

2. "Waterproof" แม้จะเขียนว่า Waterproof (กันน้ำ) แต่ก็ไม่สามารถกันน้ำได้ 100% ดังนั้น เพื่อให้ได้ผลต้องทาครีมกันแดดอย่างต่อเนื่อง โดยทาซ้ำทุกครั้งที่เหงื่อออก หรือทุกครั้งในช่วงพักว่ายน้ำ

3. "UVA และ UVB" ถ้าเขียนไว้ว่า.. มี UVA หมายถึง ครีมกันแดดนั้น มีคุณสมบัติ ป้องกันกระ ฝ้า และป้องกันริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย แต่ถ้าเขียนไว้ว่า..
มี UVB หมายถึง ครีมกันแดดนั้นมีคุณสมบัติ ป้องกันอาการแพ้ แดง แสบ
และไหม้ของผิวหนัง

หวังว่า..จะเลือกครีมกันแดดที่เหมาะกับตัวเองได้ดีขึ้น
ส่วนเทคนิคในการใช้งานครีมกันแดดที่ต้องจำไว้ให้แม่นๆ
ก็คือ ครีมกันแดด ไม่สามารถป้องกันแสงแดดได้ 100%
ดังนั้น เมื่อต้องออกแดด เช่น เล่นกีฬากลางแจ้ง
ควรสวมแว่นกันแดด หรือหมวกกันแดดจะป้องกันได้มากขึ้น ส่วนการทาผิวควรเกลี่ยครีมให้เรียบเสมอ และทาให้ทั่วบริเวณที่ต้องการปกป้องจากแดด
เพื่อป้องกันผิวด่างดำเฉพาะที่ และเลิกใช้ทันที
ถ้ามีอาการแพ้ มีผื่นแดง และคัน

ที่มา : นิตยสาร "ผาสุก" (phasuk)
บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด ปีที่ 31 ฉบับที่ 163 เมษายน - มิถุนายน 2551

เจ้าหน้าที่ FBI

เท่ไหม?.. เวลาที่ตำรวจในหนังฮอลลีวูดพูดว่า.. "หยุดอย่าขยับนี่เจ้าหน้าที่ FBI"
เจ้าหน้าที่ FBI ก็คือตำรวจประเภทหนึ่ง แต่เคยสงสัยกันหรือไม่ ว่าเจ้าหน้าที่ FBI
คือตำรวจอะไร?
FBI นั้นย่อมาจาก Federal Bureau of In vestigation เป็นหน่วยสืบสวน
คดีอาญาของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1908
ชื่อเดิมคือ Bureau of Investigation

ในปี ค.ศ. 1924 ได้มีการปรับปรุงหน่วยงานขึ้นใหม่ และได้กำหนดนโยบาย
ของหน่วยงานที่ชัดเจนขึ้น และในปี ค.ศ. 1935 เปลี่ยนชื่อเป็น Federal Bureau
of In vestigation (ซื่อเดียวกับปัจจุบัน)

ีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. (Washington, D.C.) และยังมี
สำนักงานอยู่ตามเมืองยุทธศาสตร์ที่สำคัญอีก 58 แห่ง ทั่วสหรัฐอเมริกา
และเปอร์โตริโก

หน้าที่หลัก คือ สอบสวน และสืบสวนคดีของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เช่น การละเมิด
กฏหมายของรัฐบาลกลาง การก่อวินาศกรรม การก่อการร้าย เป็นต้น

เอฟบีไอมีหน่วยรวบรวมรูปพรรณบุคคล (Identification Division) และได้ตั้ง
ระบบรายงานอาชญากรรม (Criminal Report System) ซึ่งเน้นการนำหลัก
วิทยาศาสตร์ มาใช้ในการสืบสวน สอบสวน และหาพยานหลักฐาน นอกจากนั้น ยังม
ีห้องปฏิบัติการทางด้านเคมีเพื่อใช้ในการพิสูจน์หลักฐานประกอบการสืบสวนอีกด้วย

ต่อมา ขอบเขตอำนาจของเอฟบีไอได้ขยายมากขึ้น
ตามความเจริญก้าวหน้าของโลกปัจจุบัน เพราะ..
เมื่อผู้ก่อการร้ายใช้วิธีใหม่ๆ ในการก่อความไม่สงบ
FBI ก็ต้องพัฒนาให้ทันเพื่อการต่อกร จึงนับว่า
เป็นองค์กรที่ต้องเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง
เพื่อความสงบสุขของประชาชนสหรัฐอเมริกา

ที่มา : หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ วันที่ 14 ตุลาคม 2551 คอลัมน์การศึกษา หมวดองค์ความรู้ภาษาไทย โดย อิสริยา เลาหตีรานนท์

งานนั่งโต๊ะ เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมาก

รายงานผลวิจัยจาก British Journal of Cancer ที่ทำการศึกษากับผู้ชาย
45,000 คน ซึ่งมีอายุ 45-79 ปี พบว่า.. ผู้ชายที่ทำงานนั่งโต๊ะทั้งวัน มีความเสี่ยง
เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก มากกว่าผู้ชายที่ทำงานนั่งโต๊ะทั้งวันครึ่งวัน 20%
และผู้ชายที่ทำงานนั่งโต๊ะนั้น มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก มากกว่าผู้ชาย
ที่ไม่ได้ทำงานนั่งโต๊ะถึง 28%
รูปแบบของการออกกำลังกายนั้นก็มีผล โดยผู้ชายที่เดิน หรือปั่นจักรยาน
น้อยกว่า 40 นาทีต่อวัน มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากมากกว่าผู้ชายที่เดิน
หรือปั่นจักรยานน้อยกว่า 1 ชั่วโมงต่อวันอยู่ 14%

แต่ไม่แน่นอนเสมอไปที่การออกกำลังจะสามารถป้องกันมะเร็งได้ เนื่องจากนักวิจัย
จากสถาบัน Karolinska ในสวีเดน สันนิษฐานว่าเป็นเพราะระดับฮอร์โมนเพศชาย
ที่หลั่งออกมา งานวิจัยก่อนหน้านี้บางชิ้น ก็พบว่า การทานผักผลไม้นั้น
ช่วยลดความเสี่ยงของโรคได้

ดังนั้น การลดความเสี่ยงมะเร็งต่อลูกหมาก ที่ Dr. Helen Rippon จากองค์กร
การกุศลเกี่ยวกับมะเร็งต่อมลูกหมากแนะนำ คือ ไม่นั่งทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานาน
เดิน หรือขี่จักรยาน (ออกกำลังกาย) หรือขยับตัวไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน แต่ไม่จำเป็นต้องเล่นกีฬาอย่างเอาเป็นเอาตายในโรงยิม จะเป็นผลดีต่อร่างกายแน่นอน

ที่มา : Desk jobs could raise the risk of prostate cancer

ชาเขียว

ชาเขียวนั้นนอกจากช่วยป้องกันโรคหัวใจ และโรคมะเร็งแล้ว งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยในฮ่องกง ที่ศึกษาจากสารคาเทชิน (catechins) 3 อย่างจากชาเขียว คือ epigallocatechin (EGC), gallocatechin (GC) และ gallate gallocatechin (GCG) พบว่า epigallocatechin (EGC) นั้นสามารถส่งเสริมการเจริญเติบโตของกระดูกได้ถึง 79% และไม่มีอันตรายใดๆ ต่อกระดูก

ดังนั้น ชาเขียวอาจจะช่วยส่งเสริมสุขภาพของกระดูก เช่น ป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุน หรือโรคทางกระดูกอื่นๆ ได้ด้วย

ฝึกงาน(ต่อ)

วันจันทร์ ที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-รับโทรศัพท์ประสานงาน
-รับหนังสือทางระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ทร.
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันอังคาร ที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓
-พิมพ์ข่าวฯ - ถ่ายเอกสาร
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-พิมพ์งานตามสั่งฯ
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว
วันพุธ ที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-ติดต่อประสานงานทางโทรศัพท์
-ติดต่อประสานงานกับหน่วยใกล้เคียง
วันที่ ๒๙ , ๓๐ เมษายน., ๑, ๒ และ ๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-ไปปฏิบัติราชการในการลำเลียงทหารกองประจำการ ที่จังหวัดขอนแก่น
วันอังคาร ที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-พิมพ์งานตามสั่งฯ - ถ่ายเอกสาร
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันพุธ ที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓ (วันฉัตรมงคล)
-ไปร่วมรับ – ส่งเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ รพ.ศิริราช
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันพฤหัสบดี ที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-ประสานงานทางโทรศัพท์
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันศุกร์ ที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-พิมพ์คำสั่งให้พาหนะและพลขับไปปฏิบัติราชการฯ
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันเสาร์ ที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-รับโทรศัพท์
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันอาทิตย์ ที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
-ล้างทำความสะอาดของใช้ภายในสำนักงาน

สวัสดีตอนบ่ายกว่าคับ

สวัสดีตอนบ่ายแก่ ๆ คับ อาจารย์พรทิพย์

15 มิถุนายน 2553

ฝึกงาน (ต่อ)

วันอาทิตย์ ที่ ๔ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันจันทร์ ที่ ๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-พิมพ์งานตามสั่งฯ ส่งแฟกส์ - ถ่ายเอกสาร
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ /พิมพ์ข่าว / นำเสนอ/ส่งแฟกส์
-เข้าเวรรักษาการณ์
วันอังคาร ที่ ๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓ (วันจักรี)
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันพุธ ที่ ๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-ซื้อของใช้ในสำนักงาน
-พิมพ์งานตามสั่งฯ
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันพฤหัสบดี ที่ ๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-ทำความสะอาดของใช้ในสำนักงาน
-ไปติดต่อประสานงานหน่วยนอก ทร.
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันศุกร์ ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-พิมพ์งานตามสั่งฯ - ถ่ายเอกสาร
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันเสาร์ ที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันอาทิตย์ ที่ ๑๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓
-รับโทรศัพท์ประสานงานฯ
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันจันทร์ ที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆพิมพ์เสนออนุมัติ
-รับหนังสือทางระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ทร.
-เคลียงานตกค้างให้หมด
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันที่ ๑๓, ๑๔, ๑๕, ๑๖, ๑๗ และ ๑๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓ (ช่วงเทศกาลสงกรานต์)
-รับโทรศัพท์ประสานงาน
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันจันทร์ ที่ ๑๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓
-พิมพ์งานตามสั่งฯ
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันอังคาร ที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-รับหนังสือทางระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ทร.
-ถ่ายเอกสาร – รับโทรศัพท์ประสานงาน
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ
วันพุธ ที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-พิมพ์ข่าวฯ - ส่งแฟกส์
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันพฤหัสบดี ที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓
-ซื้ออุปกรณ์ของใช้เกี่ยวกับงาน
-ไปส่งหนังสือ (ลับ) นอกหน่วย
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันศุกร์ ที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓
-พิมพ์งานตามสั่งฯ
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันเสาร์ ที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓
-รับโทรศัพท์ประสานงาน
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันอาทิตย์ ที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓
-รับโทรศัพท์ประสานงาน
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์

ฝึกงาน (ต่อ)

วันพฤหัสบดี ที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะจากหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-รับหนังสือทางระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ทร.
-ถ่ายเอกสาร - รับโทรศัพท์ประสานฯ
-อยู่เตรียมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ ส่งแฟกส์
วันศุกร์ ที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะจากหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-ถ่ายเอกสาร - พิมพ์งานตามสั่งฯ
-อยู่เตรียมรับสถานการณ์ฯ /พิมพ์ข่าว/ส่งแฟกส์
วันเสาร์ ที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-อยู่เตรียมรับสถานการณ์ฯ /พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ ส่งแฟกส์
วันอาทิตย์ ที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-อยู่เตรียมรับสถานการณ์ฯ / พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันจันทร์ ที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะจากหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-ถ่ายเอกสาร - พิมพ์งานตามสั่งฯ- อยู่เตรียมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันอังคาร ที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-พิมพ์คำสั่งจัดพาหนะพร้อมพลขับ ไปปฏิบัติราชการฯ
-พิมพ์ข่าวราชนาวี - ส่งแฟกส์
-อยู่เตรียมรับสถานการณ์ฯ /พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ ส่งแฟกส์
วันพุธ ที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-พิมพ์งานตามสั่งฯ
-ขออนุมัติครึ่งวัน ไปมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จ
วันพฤหัสบดี ที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-พิมพ์คำสั่งให้พาหนะและพลขับไปปฏิบัติราชการ
-พิมพ์งานตามสั่งการ - ถ่ายเอกสาร/ส่งแฟกส์
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันศุกร์ ที่ ๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓
-รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะของหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
-พิมพ์คำสั่งให้พาหนะและพลขับไปปฏิบัติราชการ
-รับโทรศัพท์ประสานงาน
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ /พิมพ์ข่าว/ส่งแฟกส์
วันเสาร์ ที่ ๓ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓
-พิมพ์งานตามสั่งฯ
-ทำความสะอาดสำนักงาน
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์
วันอาทิตย์ ที่ ๔ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓
-อยู่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/นำเสนอ/ส่งแฟกส์

สวัสดีคอรักเจ้า

สวัสดีเช้าวันอังคารครับอาจารย์พรทิพย์

14 มิถุนายน 2553

ฝึกงาน (ต่อ)

วันเสาร์ ที่ ๑๓ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
- อยู่เตรียมรับสถานการณ์การชุมนุมฯ
- พิมพ์ข่าวรายงานสถานภาพฯ
- ส่งแฟ็กส์
วันอาทิตย์ ที่ ๑๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
- อยู่เตรียมรับสถานการณ์การชุมนุมฯ
- พิมพ์ข่าวรายลานสถานภาพ
- รับโทรศัพท์ - ส่งแฟ็กส์
วันจันทร์ ที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
- รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะจากหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
- รับหนังสือทางระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ทร.
- ถ่ายเอกสาร - ซื้อของใช้ในสำนักงาน
- อยู่เตรียมรับสถานการณ์การชุมนุมฯ / พิมพ์ข่าว/ส่งแฟกส์
วันอังคาร ที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
- รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะจากหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
- รับโทรศัพท์ประสานงาน
- อยู่เตรียมรับสถานการณ์การชุมนุม/ พิมพ์ข่าว /ส่งแฟกส์
วันพุธ ที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
- รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะจากหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
- รับหนังสือทางระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ทร.
- รับโทรศัพท์
- อยู่เตรียมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/ส่งแฟกส์
วันพฤหัสบดี ที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
- รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะจากหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
- รับโทรศัพท์ประสานงานฯ
- ไปส่งหนังสือ(ลับ) ให้แก่หน่วยต่าง ๆ ใน ทร.
- อยู่เตรียมรับสถานการณ์ฯ /พิมพ์ข่าว/ส่งแฟกส์

วันศุกร์ ที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
- รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะจากหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
- รับโทรศัพท์ประสานงานฯ
- ถ่ายเอกสาร - ติดต่อราชการนอกหน่วย
- อยู่เตรียมรับสถานการณ์ฯ /พิมพ์ข่าว/ ส่งแฟกส์
วันเสาร์ ที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
- พิมพ์งานตามสั่ง - - รับโทรศัพท์ประสานงานฯ
- อยู่เตรียมรับสถานการณ์ฯ /พิมพ์ข่าว/ส่งแฟกส์
วันอาทิตย์ ที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
- เตรียมรับสถานการณ์ฯ /พิมพ์ข่าว/ ส่งแฟกส์
- พิมพ์ข่าวตามสั่ง
วันจันทร์ ที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
- รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะจากหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
- ถ่ายเอกสาร - ส่งแฟกส์ – ลงเลขรับหนังสือ
- พิมพ์งานตามสั่ง
- รับหนังสือทางระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ทร.
- อยู่เตรียมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/ส่งแฟกส์
วันอังคาร ที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
- รวมรวมเรื่องการขอใช้พาหนะจากหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
- พิมพ์งานตามสั่ง - ส่งแฟกส์ - ถ่ายเอกสาร
- รับหนังสือทางระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ทร.
- อยู่เตรียมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว
วันพุธ ที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
- รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะจากหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
- รับหนังสือทางระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ทร.
- พิมพ์งานตามสั่ง - ส่งแฟกส์ - ถ่ายเอกสาร

- อยู่เตรียมรับสถานการณ์ฯ/พิมพ์ข่าว/ส่งแฟกส์

ฝึกงาน

วันจันทร์ ที่ ๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
- รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะจากหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
- ถ่ายเอกสาร - รับโทรศัพท์ - รับหนังสือทางระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ทร.
วันอังคาร ที่ ๙ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
- รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะ พิมพ์เสนออนุมัติ
- พิมพ์คำสั่งรถให้ปฏิบัติราชการ - ถ่ายเอกสาร
- ไปส่งหนังสือภายนอกหน่วย
วันพุธ ที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
- รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะจากหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
- รับโทรศัพท์
วันพฤหัสบดี ที่ ๑๑ มีนาคม ๕๓
- รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะจากหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
- รับหนังสือทางระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ทร.
- ถ่ายเอกสาร - รับโทรศัพท์
- รับหนังสือทางระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ทร.
วันศุกร์ ที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
- รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะจากหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
- เช็ดทำความสะอาดโทรศัพท์
- ซื้อของใช้ในสำนักงาน
- อยู่เตรียมรับสถานการณ์การชุมนุมของมวลชน (วันแรก)
วันจันทร์ ที่ ๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
- รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะจากหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
- ถ่ายเอกสาร - รับโทรศัพท์ - รับหนังสือทางระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ทร.
วันอังคาร ที่ ๙ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
- รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะ พิมพ์เสนออนุมัติ
- พิมพ์คำสั่งรถให้ปฏิบัติราชการ - ถ่ายเอกสาร
- ไปส่งหนังสือภายนอกหน่วย
วันพุธ ที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
- รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะจากหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
- รับโทรศัพท์
วันพฤหัสบดี ที่ ๑๑ มีนาคม ๕๓
- รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะจากหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
- รับหนังสือทางระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ทร.
- ถ่ายเอกสาร - รับโทรศัพท์
- รับหนังสือทางระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ทร.
วันศุกร์ ที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
- รวบรวมเรื่องการขอใช้พาหนะจากหน่วยต่าง ๆ พิมพ์เสนออนุมัติ
- เช็ดทำความสะอาดโทรศัพท์
- ซื้อของใช้ในสำนักงาน
- อยู่เตรียมรับสถานการณ์การชุมนุมของมวลชน (วันแรก)
โรเบิร์ต โคเร็น กลายเป็นฮีโร่ของชาวสโลวีเนีย ไปเสียแล้วหลังจากเกมล่าสุดเจ้าตัวจัดการสังหารหนึ่งประตูให้ทีมเอาชนะ แอลจีเรีย ในนัดแรกฟุตบอลโลก 2010 1-0 เก็บสามแต้มขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูงกลุ่ม ซี เรียบร้อย โอกาสผ่านเข้ารอบสองเริ่มสดใสเต็มที
เปิดฉากในครึ่งแรกสโลวีเนียเปิดเกมรุกเข้าใส่ทันทีแต่ว่ายังเจาะแผงหลังแอลจีเรียไม่เข้า ได้แต่ป่วนเปี้ยนอยู่หน้ากรอบเขตโทษ และแอลจีเรีย โต้กลับเร็วแค่นาทีแรก คาริม มัตมูร์ ได้บอลจากริมเส้นด้านขวาลากเข้าไปหน้าประตูก่อนโดน โบยาน โยคิช เสียบล้มผู้ตัดสินเปาให้เป็นฟรีคิกระยะประมาณ 23 หลา และ นาดีร์ เบลฮาดจ์ จัดการปั่นด้วยซ้ายบอลพุ่งจะมุดเสียบคานทว่า ซามีร์ ฮันดาโนวิช นายทวานสโลวีเนียปัดออกหลังไปได้
จากนั้นเกมเริ่มผ่อนลงไปส่วนใหญ่สู้กันที่แดนกลางยังไม่มีใครกล้าเดินเกมเร็วเล่นกันอย่างระมัดระวังตัว
น.7 แผงหลังสโลวีเนีย บอสต์ยัน เซซ่าร์ ตักยาวไปให้ เดดิช เกือบหลุดเดี่ยวแต่จับบอลไม่เนียนบอลหลุดไปถึงผู้รักษาประตูแอลจีเรียรับเอาไว้ได้
เกมผ่านไป 10 นาทีเกมยังไม่มีอะไรหวาดเสียวทั้งสองทีมพยายามต่อบอลเข้าสู้แต่ก็โดนอีกฝั่งสะกัดเอาไว้ได้หมด อย่างไรก็ตามเสียงเชียร์ในสนามก็ดังกระหึ่มโดยเฉพาะวูวูเซล่า เครื่องเป่าที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดในแอฟริกาใต้
ผ่านไปถึงนาที 15 เกมยังออกมาในรูปแบบเดิมทั้งสองทีมยังเล่นกันอย่างรัดกุมและต่างยังหาจังหวะส่องงามไม่ได้ทั้งคู่ต่างทันกันหมด
น.16 สโลวีเนีย พาเกมไปถึงริมเส้นเปิดเข้ากลางแต่ก็ไม่ได้ลุ้น ฟาอูซี่ ชาอูชี่ ประตูแอลจีเรียรับกินสบาย
น.20 อันดราซ เคิร์ม ของสโลวีเนียโดนเตะล้มลงที่ริมเส้นด้านขวาได้เป็นฟรีคิก และ วอลเตอร์ บีร์ซ่า เปิดโค้งพุ่งเข้าหน้าประตู บอสต์ยัน เซซ่าร์ พุ่งเข้าชาร์จแต่ไม่ทัน ฟาอูซี่ ชาอูชี่ นายทวารแอลจีเรียชกออกมาได้ เกมของสโลวีเนียดีขึ้นเริ่มทำชิ่งเจาะแนวรับได้บ้างคู่แข่งต้องใช้การทำฟาวล์ตัดเกม
น.22 สโลวีเนียได้ฟรีคิกอีกครั้งทางกรอบเขตโทษฝั่งซ้าย เคิร์ม เปิดเข้าไปหน้าประตู เซซ่าร์ พุ่งเข้าโขกแต่ไปชน ฟาอูซี่ ชาอูซี่ ประตูของแอลจีเรียที่ทะยานออกมาตัดเกม ผู้ตัดสินเป่าให้เป็นลูกฟาวล์เลยหมดลุ้นไปอีกครั้ง
เข้าสู่นาทีที่ 30 ช่วงนี้ แอลจีเรีย เริ่มเป็นฝ่ายครองเกมได้มากกว่าขึงเกมบุกสโลวีเนียได้ต่อเนื่องแต่ว่ายังหาช่องเจาะแผงหลังคู่แข่งไม่ได้ ขณะที่ สโลวีเนีย ต้องถอยมารับกันเป็นแผงในแดนตัวเอง
น.34 นาดีร์ เบลฮาดจ์ กองหลังจอมบุกกระชากขึ้นมาทางริมเส้นด้านซ้ายแล้วโดน อเล็กซานเดอร์ ราโดซาฟล์เยวิช เสียบล้มคะมำจึงโดนใบเหลืองเป็นคนแรกของเกม และจังหวะฟรีคิกแอลจีเรียก็ได้ลุ้นเมื่อเปิดไปหน้าประตู อันตาร์ ยาเอีย โถมเข้าโขกแต่ บอสต์ยัน เซซ่าร์ ของสโลวีเนีย แย่งโหม่งทิ้งออกไปได้
แอลจีเรียยังทำเกมได้เหนือกว่าอย่างชัดเจน น.35 ได้เตะมุมอีกครั้ง คาริม ซิยานี่ เปิดเข้าไปถึง ราฟิค อัลลิเช่ โดดขึ้นโหม่งคนเดียวแต่บิดมากไปหน่อยบอลถากเสาออกไปอย่างน่าเสียดาย
แอลจีเรีย ยังเดินหน้าบุกอย่างต่อเนื่องแต่ก็ยังหาช่องเข้ากระซวกตาข่ายไม่ได้ ทว่าสโลวีเนียก็มีโต้ น.42 วอลเตอร์ บีร์ซ่า ได้บอลหน้ากรอบเขตโทษพลิกเล่นเองแต่แผงหลังยืนอยู่แน่นตัดสินใจซัดด้วยซ้ายระยะเกือบ 25 หลาบอลพุ่งทำท่าจะมุดคานตุงตาข่ายแต่ ฟาอูซี่ ชาอูชี่ นายประตูแอลจีเรียกระโดดปัดปลายมือเซฟไว้ได้
เกมจากนั้นส่วนใหญ่สู้กันที่กลางสนามแต่ยังทำอะไรไม่ได้จบครึ่งแรกเสมอ 0-0

รายชื่อนักเตะทั้งสองทีม
สโลวีเนีย : ซามีร์ ฮันดาโนวิช, มิโซ่ เบรชโก้, มาร์โก้ ซูเลอร์, บอสต์ยัน เซซ่าร์, โบยาน โยคิช, อันดราซ เคิร์ม, โรเบิร์ต โคเร็น, อเล็กซานเดอร์ ราโดซาฟล์เยวิช, วอลเตอร์ บีร์ซ่า, มิลิโวเย่ โนวาโควิช, ซลัตโก้ เดดิช

แอลจีเรีย : ฟาอูซี่ ชาอูชี, อันตาร์ ยาเอีย, มาดยิด บูเกร่า, ราฟิค อัลลิเช่, นาดีร์ เบลฮาดจ์, ฟูเอด กาดีร์, เมห์ดี้ ลาเซ็น, คาริม ซิยานี่, ฮัสซัน เย็บดา, ราฟิค เฌบบูร์, คาริม มัตมูร์

ผู้ตัดสิน : คาร์ลอส บาตเรส (กัวเตมาลา)

สวัสดีเช้าวันจันทร์

สวัสดีเช้าวันจันทร์ ครับ อาจารย์

12 มิถุนายน 2553

ตอน 4 เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว ก็จะต้องใช้คำว่า โปรดใช่วิจารณาญาณในการอ่าน

ตอน 4 เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว ก็จะต้องใช้คำว่า โปรดใช่วิจารณาญาณในการอ่าน

ต่อไปนี้คือคําทํานายของปี2012 ครับ
เดือนตุลาคม ค.ศ. 2000 ชาวคอร์กิโนหลายคน เห็นดวงแสงลึกลับ ลอยวูบลงสู่พื้นดิน แล้วพุ่งกลับขึ้นไปในอากาศ ทิ้งรอยไหม้จนหินละลาย ซึ่งต่อมาหินละลายดังกล่าว ได้รับการตรวจสอบจากนักธรณีวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา ที่ลงความเห็นว่าหินได้รับความร้อนอย่างไม่น่าเชื่อ อ่านต่อ…>>

นอกจากแสงลึกลับแล้ว ที่นี่ยังมีชายผู้หนึ่งซึ่งอ้างว่าเขาสามารถติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้มานานแล้ว ล่าสุดเมื่อปี 2002 เขาก็อ้างว่าเขาถูกลักพาตัวไปยังยางนอกโลกถึง 3 วัน ซึ่งงานนี้เขาไม่ได้อ้างลอยๆ นะ เขามีพยานหลักฐานอันน่าทึ่ง และยังไม่อาจพิสูจน์ค้านได้ว่าเป็นการทำปลอม หรือกุเรื่องขึ้นเสียด้วย

ชายผู้มีประสบการณ์พิเศษคนนี้ ชื่อ อูแรนเดอร์ โอลิเวียร่า เขาอ้างว่าเขาเคยติดต่อ กับมนุษย์ต่างดาวมาหลายครั้ง มนุษย์ต่างดาวของ โอลิเวียร่า ไม่ใช่ทอล ดาร์ค แอนด์ แฮนซัม แต่เป็นทอล บลอนด์ ผิวขาวร่างสูง ผมบลอนด์ ดวงตาสีฟ้าจาง โดยมีแก้วตาสีเหลืองอ่อนวางตามตัวตามแนวตั้งเหมือนตาแมว ฟังดูไม่น่าเกลียดเหมือนตัวอีทีโอลิเวียล่า บอกเราว่ามนุษย์ต่างดาวใช้สิ่งที่เรียกว่าแสงพลาสม่า เป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสารกับเขาทางโทรจิต

เหตุการณ์ที่น่าทึ่งที่สุดที่เกิดขึ้นเมื่อ 15 กันยายน 2002 คืนนั้น

โอลิเวียร่า หายตัวไปจากห้องนอน ทิ้งไว้แต่รอยไหม้รูปร่างคนนอนบนผ้าปูเตียงและบนฝ้าเพดาน ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปไหน อีก 3 วันต่อมาจู่ๆ เขาก็กลับมาอยู่ในห้องนอนนั้น และเขาอ้างตลอดว่า เวลาที่เขาหายไปนั้นเขาถูกนำตัวไปยังยานต่างดาว


โอลิเวียร่า บอกว่าเขารู้ตัวล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ โดยเขาได้รับการติดต่อ ทางโทรจิตผ่านแสงพลาสม่า ว่ามนุษย์ต่างดาวจะมานำตัวเขาไปในคืนดังกล่าว โดยก่อนเกิดเหตุการณ์จะมีสัญญาณนำมาให้รู้ โดยจะเกิดฝนก้อนหินตกลงมา

ค่ำวันที่ 15 กันยายน 2002 เวลาประมาณ 19.13 น. เพื่อนบ้านใกล้เคียงของ โอลิเวียร่า ต้องประหลาดใจที่ได้ยินเสียงอะไร ร่วงกรูกราวอยู่บนหลังคา เมื่อออกมาดูพบว่าเป็นก้อนหินกลมๆ ก้อนเล็ก ๆ ตกลงมาจากท้องฟ้า หลายคนช่วยเก็บก้อนหิน บางคนก็ถ่ายวีดีโอไว้เป็นหลักฐานด้วย
เขาเล่าว่า ในขณะที่เขานอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงสักครู่ก็มีแสงสีม่วงสว่างไปทั้งห้อง แสงนั้นรวมตัวเข้าเหมือนฟองสบู่ ร่างของเขาลอยทะลุเพดาน รู้สึกเหมือนกระดูถูกยืดออก แต่ไม่มีความเจ็บปวด ครั้งลอยพ้นผ่านหลังคาบ้านไป ลำแสงสีม่วงก็พลิกร่างเขาให้ยืนขึ้น เมื่อไปถึงยานต่างดาว ( ซึ่งเขาไมได้บอกว่ามันเป็นอย่างไร ) เขาก็ถูกนำตัวเข้าไปในฟองอากาศ ใบใหญ่ ซึ่งมีผิวบางใส คล้ายๆ ว่าข้างในคงจะคล้ายๆ ห้องฆ่าเชื้อ ปรับพลังงานให้สมดุลอะไรทำนองนั้น จากนั้นมนุษย์ต่างดาวผมบรอนด์ร่างสูง ก็พาเขาขึ้นบันไดไปยังชั้นบนของยาน ซึ่งเป็นห้องกว้างใหญ่เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ที่นั่นมนุษย์ต่างดาวให้เขาดูจอภาพ อันเป็นภาพเกี่ยวกับโลก ระบบสุริยะ และกาแล็กซี่ของเรา
มนุษย์ต่างดาวบอกว่า ในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 ( พ.ศ. 2555 ) จะเกิดปรากฎการณ์ในอวกาศครั้งใหญ่ ซึ่งจะมีผลกระทบไปทั้งจักรวาล ในวันนั้นแกแล็กซี่จะส่งแสงวาบเจิดจ้าออกมาก ดวงอาทิตย์ทุกดวงในแกแล็กซี่ จะสะท้องแสงนั้นไปยังดาวเคราะห์ที่โคจรรอบตัวมัน สิ่งมีชีวิตทั้งมวลอันมีดวงตาจะได้เห็นแสงเจิดจ้านี้ทั่วหน้ากัน โลกของเราจะปั่นป่วน ด้วยพายุสุริยะทั้งแสงอาทิตย์ก็จะร้อนจัดขึ้น
คำทำนายของมนุษย์ต่างดาว ที่ว่าจะเกิดอาเพศขึ้นทั่วทั้งจักรวาลในวันนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ น่าแปลกที่ว่า วันที่ 21 ธันวาคม 2012 นั้นเป็นวันสุดท้ายในปฏิทินของชาวมายาอีกด้วย

หลวงพ่อลิงดำ

คำทำนายที่เคยมีช้านานนัก
เริ่มประจักษ์ให้เห็นเร้นไม่ได้
หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยทำนาย
เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา
ประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง
น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า
พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา
เป็นประชาจนเต็มพระนคร
ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน
ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร
ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร
องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน
ชาวประชาจะปิติยิ้มสดใส
แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น
จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน
เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนา
จะมีการต่อตีกันกลางเมือง
ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า
คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา
ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร
ข้าราชการตงฉินถูกประนาม
สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้
เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป
โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี
ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว
ถ้วนทุกทั่วจะหมุดขุดรูหนี
ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี
เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน
พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ
มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ
เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน
พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย
แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก
เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย
เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย
เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน
ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช
ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น
ทั้งพฤฒาอาจารย์ลือระบิล
จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม
ความระทมจะถมทับนับเทวศ
ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม
คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม
ส่วนคนชั่วหัวร่อร่าทำท่าดัง
จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว
ควงคฑามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง
ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง
สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ
ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม
หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้
จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป
เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา
คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น
แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา
ยามเมื่อฟ้าศรีทองผ่องอำไพ

ทำไมพวกแดงจึงคิดได้อย่างนั้น

พวกเค้ายังไม่ร้สึก
ว่ามีการล้มปืน ล้มเจ้า
ไม่มีการก่อการร้าย
เผาบ้านเผาเมืองมอดม้ายแต่เหมือนคล้ายไม่ได้ทำ
ผมงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง

หลังจากเผาบ้านเผาเมืองก็มาเจอล้างโลกอีก

สุดอัศจรรย์...16 คำทำนายพระพุทธเจ้า ชี้ชะตามนุษย์โลก, สุดอัศจรรย์...16 คำทำนายพระพุทธเจ้า ชี้ชะตามนุษย์โลก

ในยุคโลกาภิวัตน์ ที่ความเจริญทางด้านวัตถุ ก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง เป็นที่น่าฉงนว่า ทำไมคนในโลกกลับมีความสุขน้อยลง และดูเหมือนว่าปัญหาในการดำรงชีวิต กลับมีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะปัญหาทางด้านศีลธรรม จริยธรรมอันเป็นความเจริญทางด้านจิตใจ ดูจะเป็นสมการผกผัน กับความเจริญทางด้านวัตถุอย่างน่าเป็นห่วง ทุกวันนี้ หากเราฟังข่าวคราวไม่ว่าในประเทศไทย หรือประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ล้วนแล้วแต่มีเหตุการณ์ร้ายๆ เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ และภัยอันเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ด้วยกันเอง
หลายๆ สิ่งเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ก็สามารถนำมาใช้คาดการณ์ล่วงหน้าและรับมือได้ทัน แต่ก็มีไม่น้อย ที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยียังไปไม่ถึง แต่หากจะบอกว่าสภาพการณ์หลายๆ อย่างที่อุบัติขึ้นในสมัยปัจจุบัน เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้า ได้ทำนายล่วงหน้ามาแล้วกว่า 2500 ปี หลายๆ คนอาจจะยังไม่เชื่อ หรือไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ดังนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำเรื่อง “พุทธทำนาย” อันปรากฏอยู่ในอรรถกถาพระไตรปิฎก มหาสุบินนิมิตชาดก เอกนิบาตชาดก ขุททกนิกาย ซึ่งเป็นเรื่องเล่าถึงสมัยที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงทำนายพระสุบิน(ความฝัน) ให้พระเจ้าปเสนทิโกศล จำนวน 16 ข้อ ว่ามีความหมายอย่างไร ดังนี้
วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศล ผู้ครองกรุงสาวัตถี ได้เสด็จเข้าสู่นิทรารมย์ในราตรีกาล ครั้นล่วงปัจฉิมยามใกล้รุ่ง ได้ทอดพระเนตรเห็น พระสุบินนิมิตอันใหญ่หลวง ถึง 16 ประการ อันเป็นพระสุบินที่แปลกประหลาด จึงทรงตกพระทัยตื่นบรรทม และครั้นรุ่งเช้า ก็ได้ให้พวกพราหมณ์ปุโรหิตประจำราชสำนักทำนาย พวกพราหมณ์ปุโรหิต ก็พากันทำนายว่าเป็นพระสุบินที่ร้าย และว่าพระองค์จะต้องประสบภัยอันตราย 3 ประการ ไม่เสียราชทรัพย์ ก็จะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน หรือไม่ก็ต้องสวรรคต อย่างใดอย่างหนึ่ง และแนะให้พระองค์ทำพิธีบูชายัญสัตว์ เพื่อสะเดาะห์เคราะห์ เมื่อพระนางมัลลิกา พระมเหสีทราบเรื่องเข้า จึงทูลให้ไปขอคำแนะนำจากพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธองค์ก็ได้ทรงทำนายว่า เหตุร้ายนั้นจะมีแน่นอน เพียงแต่มิใช่เกิดแก่พระเจ้าปเสนทิโกศล หรือแว่นแคว้นของพระองค์ แต่เหตุร้ายเหล่านี้จะเกิดแก่สัตว์โลกทั่วๆ ไป และแก่พระศาสนาของพระพุทธองค์ในภายภาคหน้า เมื่อล่วงเลยพุทธกาลไปแล้ว 2500 ปี เมื่อศาสนาเสื่อมลง (กล่าวกันว่า อายุของพุทธศาสนาในกัลป์นี้ ยืนยาวเพียง 5,000 ปี หลังจากนั้น ต้องรอยุคของพระศรีอาริยเมตตไตรย์ พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปเสด็จมาโปรดสัตว์)
ความฝันของพระเจ้าปเสนทิโกศล และคำทำนายของพระพุทธเจ้าทั้ง 16 ประการ ประกอบด้วย
1. ทรงฝันว่า มีโคตัวผู้สีเหมือนดอกอัญชัญ 4 ตัว ต่างคิดจะชนกัน ก็พากันวิ่งมาสู่ท้องพระลานหลวงจาก 4 ทิศ ฝูงชนต่างรอดู โคทั้งสี่ก็ส่งเสียงคำรามลั่น แต่แล้วต่างก็ถอยออกไป ไม่ชนกัน - พระพุทธเจ้าได้ทรงทำนายว่า ในอนาคตในชั่วศาสนาของพระองค์ เมื่อโลกหมุนไปถึงจุดที่เสื่อมลง มนุษย์ไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ฝนฟ้าจักแล้ง ทุพภิกขภัยจักเกิดขึ้น คล้ายเมฆตั้งเค้าจะมีฝน มีเสียงคำรามกระหึ่ม แต่แล้วก็ไม่ตก กลับเลยหายไป เหมือนโคตั้งท่าจะชนกัน แต่ไม่ชนกันฉะนั้น
2. ทรงฝันว่า ต้นไม้เล็กๆ และกอไผ่ที่โตเพียงคืบบ้าง ศอกบ้าง ก็ออกดอกออกผลแล้ว - พระพุทธองค์ทรงทำนายว่า ต่อไปเมื่อโลกเสื่อม มนุษย์แม้จะมีอายุเยาว์ มีวัยยังไม่สมบูรณ์ก็จะมีราคะกล้า และสมสู่กันตั้งแต่อายุยังน้อย และจะมีลูกแต่เด็กๆ เหมือนต้นไม้เล็กๆ แต่ก็มีผลแล้ว
3. ทรงฝันว่า ทรงเห็นแม่โคใหญ่ๆ พากันดื่มนมของฝูงลูกโคที่เพิ่งเกิด - ทรงทำนายว่า ต่อไปในอนาคตการเคารพนบนอบผู้ใหญ่ เช่น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์จะเสื่อมถอย คนเฒ่าคนแก่พ่อแม่เมื่อหมดที่พึ่ง หาเลี้ยงตนไม่ได้ ก็ต้องง้อ ต้องประจบเด็กๆ ดังที่แม่โคที่ต้องกินนมลูกโคฉะนั้น
4. ทรงฝันว่าผู้คนไม่ใช้วัวตัวใหญ่ ที่สมบูรณ์แข็งแรงเทียมแอกลากเกวียน กลับไปใช้โครุ่นๆ ที่ยังปราศจากกำลังมาลาก เมื่อมันลากเกวียนให้แล่นไม่ได้ มันก็สลัดแอกนั้นเสีย - ทรงทำนายว่า ในภายหน้าเมื่อผู้มีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม แทนที่จะยกย่องและมอบหมายหน้าที่ ให้กับผู้มีสติปัญญา ความรู้ กลับไปมอบยศศักดิ์ให้กับคนหนุ่มที่อ่อนหัด ด้อยประสบการณ์ ทำให้ปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดี กิจการต่างๆ ก็ไม่สำเร็จ ก็เหมือนใช้โครุ่นมาเทียมแอก เกวียนก็แล่นไม่ได้ฉันใด ก็ฉันนั้น
5. ทรงฝันว่าเห็นม้าตัวหนึ่ง มีปากสองข้าง ฝูงชนก็เอาหญ้าไปป้อนที่ปากทั้งสองข้าง มันก็กินทั้งสองข้าง - ทรงทำนายว่า ในอนาคตเมื่อผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจไม่ดำรงอยู่ในธรรม ตั้งคนพาล หรือคนไม่มีศีลธรรมไว้ในตำแหน่งอันมีผลต่อผู้อื่น คนเหล่านั้นก็จะไม่นึกถึงบาปบุญ คุณโทษ แต่จะตัดสินคดีต่างๆ ตามแต่ใจชอบ โดยเอาสินบนจากทั้งสองฝ่ายเป็นประมาณ ดังม้าที่กินหญ้าทั้งสองปาก
6. ทรงฝันว่าฝูงชนเอาถาดทองราคาแพง ไปให้หมาจิ้งจอกแก่ตัวหนึ่ง พร้อมเชื้อเชิญให้หมาจิ้งจอกตัวนั้น ถ่ายปัสสาวะใส่ถาดทองนั้น - ทรงทำนายว่า ต่อไปคนดีมีสกุลทั้งหลายจะสิ้นอำนาจวาสนา คนตระกูลต่ำ หรือคนพาลจะได้เป็นใหญ่เป็นโต และคนมีตระกูล ก็จะต้องยกลูกสาว ให้แก่ผู้ไร้ตระกูลเหล่านั้น เหมือนเอาถาดทองไปให้หมาปัสสาวะรด
7.ทรงฝันว่า มีชายคนหนึ่งนั่งฟั่นเชือก แล้วหย่อนไปในที่ใกล้เท้า แม่หมาจิ้งจอกโซตัวหนึ่ง นอนอยู่ใต้ตั่งที่บุรุษนั้นนั่งอยู่ แล้วก็กัดกินเชือกนั้น โดยที่เขาไม่รู้ตัว - ทรงทำนายว่า ในกาลข้างหน้า ผู้หญิงจะเหลาะแหละ โลเล ลุ่มหลงในสุรา เอาแต่แต่งตัว เที่ยวเตร่ ประพฤติทุศีล แล้วก็จะเอาทรัพย์ที่สามีหาได้ด้วยความลำบากไปใช้ หรือให้ชายชู้ เหมือนนางหมาโซที่นอนใต้ตั่ง คอยกัดกินเชือกที่เขาฟั่น และหย่อนลงไว้ใกล้เท้า
8. ทรงฝันว่ามีตุ่มน้ำเต็มเปี่ยมตุ่มหนึ่งวางอยู่ตรงประตูวัง แวดล้อมด้วยตุ่มว่างๆ เป็นอันมาก แต่คนก็ยังไปตักน้ำใส่ตุ่มที่เต็มอยู่ จนล้นแล้วล้นอีก โดยไม่เหลียวแลจะตักใส่ตุ่มที่ว่างๆ นั้นเลย - ทรงทำนายว่า ในอนาคต เมื่อศาสนาเสื่อม คนเป็นใหญ่หรือมีอำนาจ จะเบียดเบียนหรือเอาเปรียบผู้ด้อยกว่า คนที่รวยอยู่แล้ว ก็จะมีคนจนหารายได้ ไปส่งเสริมให้รวยยิ่งขึ้น ดังฝูงชนที่ต้องตักน้ำใส่ตุ่มใหญ่ที่เต็มอยู่แล้วจนล้น ส่วนตุ่มที่ว่างอยู่กลับไม่ไปใส่น้ำ
9. ทรงฝันเห็นสระแห่งหนึ่ง มีบัวนานาชนิดขึ้นอยู่เต็ม และมีท่าขึ้นลงโดยรอบ สัตว์ต่างๆ ก็พากันดื่มน้ำในสระ แต่แทนที่น้ำบริเวณที่สัตว์เหยียบย่ำจะขุ่น กลับใสสะอาด ส่วนน้ำที่อยู่ลึกกลางสระที่สัตว์ไม่ไปดื่มหรือ เหยียบย่ำแทนที่จะใส กลับขุ่นข้น - ทรงทำนายว่า ต่อไป เมื่อคนมีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม ขาดเมตตา คอยใช้อำนาจ รีดนาทาเร้นหรือกินสินบน ชาวบ้านชาวเมือง ก็จะหนีไปอยู่ตามชายแดนหรือที่อื่นๆ ทำให้ที่นั้นๆ ที่คนพากันไปอยู่มีความมั่นคงเป็นปึกแผ่น เหมือนน้ำรอบๆ สระที่ใส ส่วนเมืองหลวงกลับว่างเปล่า เหมือนกลางสระที่ขุ่น
10. ทรงฝันว่า เห็นข้าวที่คนหุงในหม้อใบเดียวกัน สุกไม่เท่ากัน โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ข้าวแฉะ ข้าวดิบ และข้าวสุกดี - ทรงทำนายว่า ในอนาคต เมื่อคนทั้งหลายไม่อยู่ในศีลในธรรมกันมากขึ้น ก็จะทำให้ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล หรือตกไม่ทั่วถึง ทำให้การเพาะปลูกบางแห่งได้ผล บางแห่งก็ไม่ได้ผล เช่นเดียวกับข้าวที่มีสุกบ้าง ดิบบ้าง และแฉะบ้าง
11. ทรงฝันว่าคนนำแก่นจันทน์ที่มีราคาแพง ไปแลกกับเปรียงเน่า (อ่านว่า เปฺรียง มี 3 ความหมาย คือ 1. นมส้มผสมน้ำแล้วเจียวให้แตกมัน 2.น้ำมันจากไขข้อวัว และ 3.เถาวัลย์เปรียง แต่ในที่นี้น่าจะหมายถึงเถาวัลย์เปรียง เทียบกับแก่นจันทน์ที่เป็นไม้เหมือนกันมากกว่า 2 ความหมายแรก) - ทรงทำนายว่า กาลภายหน้า พระภิกษุอลัชชีเห็นแก่ได้ทั้งหลาย แทนที่จะนำธรรมะ ที่พระพุทธองค์สอน ไปสอนสั่งให้คนหลุดพ้นจากความทุกข์ และละความโลภ กลับใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหากิน หาปัจจัยบริจาคเข้าตัวเอง เหมือนเอาแก่นจันทน์ (ธรรมะคำสอนที่ดี) ไปแลกเอาเถาวัลย์เน่า (ลาภอามิสที่ได้รับมา ซึ่งไม่จีรังและไม่ช่วยให้พ้นทุกข์จริงๆ ได้)
12. ทรงฝันเห็นกระโหลกน้ำเต้าจมน้ำได้ - ทรงทำนายว่า ต่อไปคำพูดของคน ที่ไม่ควรจะได้รับความเชื่อถือ กลับจะได้รับความเชื่อถือ โดยเปรียบถ้อยคำของคนที่ไม่น่าเชื่อว่ามีน้ำหนักเบาเหมือนกับผลน้ำเต้า ซึ่งปกติจะลอยน้ำ แต่เมื่อคนเชื่อว่าคำพูดเหล่านั้นมีน้ำหนัก หรือหนักแน่น จึงเปรียบคำพูดนั้นว่ามีน้ำหนัก ราวกับน้ำเต้าที่จมน้ำได้
13. ทรงฝันว่าศิลาแท่งทึบขนาดเรือน ลอยน้ำได้เหมือนเรือ - ทรงทำนายว่า ถ้อยคำของคนที่ควรได้รับการเชื่อถือ ซึ่งหนักแน่น มีน้ำหนักเปรียบประดุจแท่งศิลา กลับไม่ได้รับความเชื่อถือ หรือกลายเป็นถ้อยคำที่ไม่มีน้ำหนักเหมือน เรือที่ลอยได้ ข้อนี้ตรงกันข้ามกับข้อที่แล้ว คือ คนหันไปเชื่อคำพูดคนที่ไม่ควรเชื่อ เหมือนสิ่งที่ควรลอยกลับจม สิ่งที่ควรจมกลับลอย
4. ทรงฝันว่า ทรงเห็นฝูงเขียดตัวเล็กๆ วิ่งไล่กวดงูเห่าตัวใหญ่ และกัดเนื้องูเห่าขาดเหมือนกัดก้านบัว แล้วกลืนกินเข้าไป - ทรงทำนายว่า เมื่อมนุษย์ปล่อยตัวปล่อยใจตามกิเลส ราคะ สามีจะตกอยู่ในอำนาจของเมียเด็ก และจะถูกดุด่าว่ากล่าวเช่นเดียวกับคนรับใช้ เหมือนเขียดตัวเล็กๆ แต่กลับกินงูได้
15. ทรงฝันว่า ฝูงพญาหงส์ทอง ที่มีขนเป็นทอง ถูกแวดล้อมด้วยกา - ทรงทำนายว่า ในอนาคตผู้มีตระกูลต้องไปเที่ยวประจบ และสวามิภักดิ์ต่อผู้ไม่มีตระกูล เหมือนหงส์ทองแวดล้อมด้วยกา
16. ทรงฝันว่า ฝูงแกะพากันไล่กวดฝูงเสือเหลือง และกัดกิน ทำให้เสืออื่นๆ สะดุ้งกลัว จนต้องหนีไปแอบซ่อนตัวจากฝูงแกะ - ทรงทำนายว่าต่อไปภายหน้า คนชั่ว หรือคนที่ไม่ดีจะเรืองอำนาจ และใช้อำนาจเป็นธรรม ทำให้คนดีถูกทำร้าย หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม ต้องหลบหนี ซ่อนตัวจากภัยร้ายเหล่านี้ เหมือนเสือซ่อนตัวจากแกะ
เมื่อพิจารณาความฝัน จะเห็นว่าหลายข้อในความฝัน เป็นสิ่งที่ผิดไปจากธรรมชาติ เช่น แม่โคกินนมลูกโค ม้าสองปาก เขียดกินงู และแกะกินเสือ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนมีนัยอันไปสู่พุทธทำนายทั้งสิ้น หลายคนอาจจะสงสัยว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์ในสมัยพุทธกาล ทำไมฝันได้ไกลไปถึงอนาคต อันไม่เกี่ยวข้องกับพระองค์ได้ถึงเพียงนี้ ผู้เขียนเชื่อว่าคงเป็นเพราะเทวดาดลใจ ให้พระองค์ฝันแปลกประหลาด เพื่อพระบรมศาสดาจะได้ฝาก “พุทธทำนาย” เป็นคำพยากรณ์อันอมตะไว้ เป็นเครื่องเตือนสติ ให้มนุษย์โลกได้ตระหนัก และระมัดระวังภัยพิบัตินานัปการ ที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า หลังจากที่พระพุทธองค์ดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว เพราะคงเล็งเห็นด้วยญาณวิเศษแล้วว่า นับวันคนเราก็จะห่างไกลจากหลักธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ จนเป็นเหตุให้มนุษย์มุ่งทำลาย เอารัดเอาเปรียบทั้งเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง และสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพื่อกอบโกยไปบำรุงบำเรอกิเลสแห่งตน โดยขาดความรัก ความเมตตาต่อกัน จึงทำให้คนเห็นแก่ตัว และมีผลให้สภาพแวดล้อม ธรรมชาติแปรปรวนไปหมด
ในปัจจุบัน เหตุการณ์หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ เช่น ฝนแล้ง อันทำให้เพาะปลูกได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง ปัญหาเรื่องศีลธรรมและจริยธรรม เช่น เด็กและเยาวชนแก่แดดขึ้น มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยเพิ่มขึ้น ลูกขาดความกตัญญู และความเคารพยำเกรงต่อพ่อแม่ อลัชชีหรือพระทุศีลมีมากขึ้น ชายแก่ตกอยู่ในอำนาจเมียเด็ก หรือปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม เช่น คนขาดความรู้ประสบการณ์ ได้รับแต่งตั้งให้ปกครองบ้านเมืองเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้มีอำนาจรับสินบน ก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป คนรวยยิ่งรวยเพราะมีช่องทาง และโอกาสเอาเปรียบคนจน เหมือนตุ่มใหญ่ที่คนตักน้ำไปใส่จนเต็มแล้วเต็มอีก แล้วปล่อยตุ่มเล็กให้ว่างเปล่า ตัวอย่างเหล่านี้ ล้วนไม่พ้นคำพยากรณ์ที่ทรงทำนาย บอกแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลว่า จะเกิดขึ้นในอนาคตของสมัยโน้น ก็คือ สมัยนี้หรือปัจจุบันนั่นเอง
อย่างไรก็ดี ก็ยังมีพุทธทำนาย เพิ่มเติมที่มีผู้ถอดความจากศิลาจารึก เชตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย ความว่า พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า “....เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้น จะพบกับความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนเวียนไปใกล้ความแตกทำลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ คนในสมัยนั้น(ปัจจุบัน) จะมีวิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิต จะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคต ก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัย และคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎธรรมชาติไม่พ้น...ในระยะนั้นศาสนาของตถาคตเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม เชื่อคำของคนโกง กล่าวคำเท็จ ไม่เคารพหลักธรรมนิยม คนประจบสอพลอได้รับการเชื่อถือในสังคม ผู้มีศีลธรรมประพฤติชอบ กลับไม่มีคนเคารพยำเกรง พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศ มีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่ง
เมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ (น่าจะหมายถึงพระศรีอาริยเมตตไตรย์)....จะเสด็จมาเสริมสร้างพระศาสนา ของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปอีก 5,000 พระวรรษา…คำทำนายของตถาคตนี้ ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับเป็นกรรมของสัตว์โลกที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติ ให้รักษาศีลห้าประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษ รู้จักพอ ไม่หลงมัวเมาในอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตนตามคำสอนของตถาคตให้มั่นคง จึงจะพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล” นี่คือพุทธทำนายที่ทรงตรัสไว้ กว่า 2500 ปีล่วงมาแล้ว ส่วนใครจะเชื่อ จะปฏิบัติหรือไม่อย่างไร ก็คงเป็นไปตามกรรม ของแต่ละคนดังพระพุทธองค์ว่าไว้
ขอขอบคุณข้อมูลข่าว : อมรรัตน์ เทพกำปนาท สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม
Attached image(s)

24 เมษายน 2553

แจ็ส

เชื่อกันว่าดนตรีแจ๊สมีต้นกำเนิดราวทศวรรษ 1920 โดยวงดนดรีวงแรกที่นำสำเนียงแจ๊สมาสู่ผู้ฟังหมู่มากคือ ดิ ออริจินัล ดิกซีแลนด์ แจ๊ส แบนด์ (The Original Dixieland Jazz Band: ODJB) ด้วยจังหวะเต้นรำที่แปลกใหม่ ทำให้โอดีเจบีเป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างมาก พร้อมกับให้กำเนิดคำว่า "แจ๊ส" ตามชื่อวงดนตรี โอดีเจบีสามารถขายแผ่นได้ถึงล้านแผ่น .. อย่างไรก็ตามโอดีเจบีไม่ได้เป็นผู้ให้กำเนิดท่วงทำนองดังกล่าว หากแต่นำสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาจากเพลงพื้นบ้านในแถบนิวออร์ลีนส์มาประยุกต์อีกที มีการวิเคราะห์รากลึกของแจ๊สในหลายทาง หนึ่งในนั้นคือเกิดจากดนตรีของกลุ่มทาสที่เดินทางมาจากแอฟริกาเพื่อเป็นแรงงานเกษตรกรรม กลุ่มทาสเหล่านี้มีพื้นฐานในเรื่องจังหวะมาจากเพลงพื้นบ้านหรือดนตรีในพิธีทางศาสนาอยู่แล้ว



ประกอบกับได้ซึมซับดนตรีของคนผิวขาว จากยุโรป จึงเกิดการผสมผสานกันกลายเป็นเพลงบลูส์ (Blues) วิเคราะห์กันว่าโน๊ตที่แปลกแปร่งของบลูส์ เกิดจากการที่คนผิวดำเหล่านี้เรียนรู้ดนตรีจากการฟังเป็นพื้นฐาน จึงเล่นดนตรีแบบถูกบ้างผิดบ้าง เพราะจำมาไม่ครบถ้วน มีการขยายความด้วยความพึงพอใจของตัวเองเป็นหลัก ซึ่งกลายเป็นที่มาของคีตปฏิภาณ (Improvisation) ในภายหลัง .. ดนตรีแร็กไทม์ (Ragtime) ก็เชื่อว่ามีต้นกำเนิดคล้ายๆ กันคือ เกิดจากดนตรียุโรปผสมกับจังหวะขัดของแอฟริกัน .. บลูส์และแร็กไทม์นี่เองที่เป็นรากของดนตรีแจ๊สในเวลาต่อมา

แร็กไทม์มีช่วงเวลาที่รุ่งเรืองอยู่ราวๆ ทศวรรษ 1890 ถึง 1910 มีเสน่ห์และเอกลักษณ์ที่จังหวะขัด (Syncopation) นักดนตรีแร็กไทม์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคนหนึ่งก็คือ สก็อตต์ จอปลิน (Scott Joplin) ผู้ประพันธ์เพลงที่เราคุ้นหูหลายๆ เพลง เช่น The Entertainer, Maple Leaf Rag, Elite Syncopations, Peacherine Rag เป็นต้น หากไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน แนะนำให้หาฟังดูแล้วจะร้องอ๋อ .. หรือถ้าชอบดูหนังลองหา The Sting มาดู มีเพลงของจอปลินประกอบเกือบทั้งเรื่อง หรือไม่ก็ The Legend of 1900 (UBC เคยเอามาฉาย) แม้เรื่องหลังนี้จะกล่าวถึงดนตรีแจ๊ส แต่มีหลายเพลงที่มีกลิ่นรสของแร็กไทม์ที่เข้มข้นทีเดียวโดยเฉพาะตอนดวลเปียโน


เพลงบลูส์เริ่มได้รับความนิยมในช่วงเวลาเดียวกันกับแร็กไทม์ ปลายๆ ทศวรรษ 1910 เพลงบลูส์และแร็กไทม์ถูกผสมผสานจนกลมกลืนโดยมีหัวหอกคือ บัดดี โบลเดน (Charles Joseph 'Buddy' Bolden) เป็นผู้ริเริ่ม หากแต่เวลานั้นยังไม่มีการประดิษฐ์คำว่าแจ๊สขึ้นมา และเรียกดนตรีเหล่านี้รวมๆ กันว่า "ฮ็อต มิวสิค" (Hot Music) จนกระทั่งโอดีเจบีโด่งดัง คำว่า แจ๊ส จึงเป็นคำที่ใช้เรียกขานกันทั่ว .. แจ๊สในยุคแรกนี้เรียกกันว่าเป็น แจ๊สดั้งเดิม หรือ นิวออร์ลีนส์แจ๊ส


สวิง และ บิ๊กแบนด์
ช่วงเวลาที่สหรัฐเขาร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ทางการสั่งปิดสถานเริงรมณ์ในนิวออร์ลีนส์ ทำให้นักดนตรีส่วนใหญ่เดินทางมาหากินในชิคาโก นิวยอร์ก และ ลอสแองเจลลิส ทั้งสามเมืองจึงกลายเป็นแหล่งบ่มเพาะนักดนตรีแจ๊สในช่วงนั้น .. ชิคาโกดูจะเป็นเมืองที่มีความก้าวหน้าทางดนตรีแจ็สเหนือกว่าอีกสองเมือง เพราะมีนักดนตรีมาทำงานมาก ชิคาโกเป็นเมืองที่ทำให้ หลุยส์ อาร์มสตรอง (Louis Armstrong) เป็นที่รู้จัก และกลายเป็นนักดนตรี/นักร้องแจ๊สชื่อก้องโลกในเวลาต่อมา ในด้านการพัฒนา ชิคาโกมีดนตรีแจ๊สที่สืบสายมาจากนิวออร์ลีนส์แต่มีลักษณะเฉพาะตัว เสียงจัดจ้าน มีการทดลองจัดวงในแบบของตัวเอง เริ่มเอาเครื่องดนตรีใหม่ๆ เช่น แซ็กโซโฟนมาใช้รวมกับ คอร์เน็ต ทรัมเป็ต มีการทดลองแนวดนตรีใหม่ๆ เช่น การเล่นเปียโนแบบสไตรด์ (Stride piano) ของเจมส์ จอห์นสัน (James P. Johnson) ซึ่งมีพื้นฐานจากแร็กไทม์ การทดลองลากโน้ตให้ยาวจนผู้ฟังคาดเดาได้ยากของอาร์มสตรอง และการปรับแพทเทิร์นของจังหวะกันใหม่เป็น Chicago Shuffle


ส่วนนิวยอร์กรับหน้าที่เป็นศูนย์กลางของแจ๊สในยุคปลายทศวรรษ 1920 แทนชิคาโก สุ้มเสียงของดนตรีแจ๊สในนิวยอร์กพัฒนาเพื่อเป็นดนตรีเต้นรำให้ความสนุกสนานบันเทิง และเป็นบ่อเกิดของ สวิง (Swing) และ บิ๊กแบนด์ (Big Band) ในเวลาต่อมา


"สวิง" ในบริบทของแจ๊ส หมายถึงอิสระในการแสดงความคิดทางดนตรี ชื่อสวิงนี้มีที่มาจากจังหวะที่ฟังแล้วเหมือนไม่ลงตัว หรือเหมือนกับจังหวะมัน 'แกว่ง' นั่นเอง สวิงเป็นดนตรีที่ก่อให้เกิดการจัดวงแบบใหม่ที่เรียกว่า "บิ๊กแบนด์" ซึ่งมีการแบ่งโครงสร้างเครื่องดนตรีเป็นสามส่วนคือ เครื่องทองเหลือง เครื่องลมไม้ และเครื่องให้จังหวะ ... ที่แจ้งเกิตตามมาในยุคนี้ก็คือนักร้องแจ๊ส เช่น เอลลา ฟิทช์เจอรัลด์ (Ella Fitzgerald) บิลลี ฮอลิเดย์ (Billy Holiday) และหลุยส์ อาร์มสตรอง .. จุดเด่นมากๆ ของนักร้องแจ๊สคือการ "สแกต" (Scat) หรือเปล่งเสียง ฮัมเพลง แทนเครื่องดนตรี ซึ่งนับเป็นการแสดงคีตปฏิภาณของนักร้อง


หากพูดถึงสวิงแล้วคงยากที่จะเลี่ยงการกล่าวถึงผู้ที่ได้รับฉายาว่า ราชาแห่งสวิง "เบนนี กู๊ดแมน" (Benny Goodman) ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับพระราชทานพระราชวโรกาสให้ร่วมเล่นดนตรีกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว .. เบนนี กู๊ดแมน เป็นนักคลาริเน็ต ก่อตั้งวงของตัวเองออกเดินสายเปิดคอนเสิร์ต พร้อมกับพัฒนาแนวทางดนตรีใหม่ๆ ไปด้วย วงบิ๊กแบนด์ของกู๊ดแมน มีลักษณะต่างจากวงอื่นๆ ในยุคนั้นตรงที่ เปิดโอกาสให้นักดนตรีคนอื่นในวงได้เล่นโซโล แสดงความสามารถเต็มที่ กลายเป็นที่ชื่นชอบของผู้ฟัง นอกจากนี้วงของกู๊ดแมนยังมีนักดนตรีทั้งผิวขาวและผิวดำปะปนกัน จึงได้รับการชื่นชมจากผู้ฟังจำนวนมาก .. ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น นอกจากวงของกู๊ดแมนแล้ว ที่โด่งดังไม่แพ้กันก็ยังมีวงของ ดุ๊ก เอลลิงตัน (Duke Ellington) และวงของ เคาน์ เบซี (William Count Basie)


บ็อพ
เพลงสวิงมาถึงจุดอิ่มตัวเมื่อนักดนตรีเริ่มเบื่อหน่ายการจัดวงและการเรียบเรียงที่ค่อนข้างตายตัว จึงเริ่มเกิดการหาแนวทางใหม่ๆ เล่นตามความพอใจหลังการซ้อมหรือเล่นดนตรี หรือเรียกว่า "แจม" (Jam session) นั่นเอง .. และจากการแจมนี่เองทำให้ ชาร์ลี "เบิร์ด" พาร์คเกอร์ (Charlie "Bird" Parker) นักแซ็กโซโฟน และ ดิซซี่ กิลเลสปี (Dizzy Gillespie) นักทรัมเป็ต เสนอแจ๊สในแนวทางใหม่ขึ้นมา เมื่อทั้งสองร่วมตั้งวงห้าชิ้นและออกอัลบั้มตามแนวทางดังกล่าว คำว่า "บีบ็อพ" (Bebop) "รีบ็อพ" (Rebop) หรือ "บ็อพ" (Bop) ก็กลายเป็นคำติดปากของผู้ฟัง คำว่าบีบ็อพเชื่อกันว่ามาจากสแกตของโน้ตสองตัว บ็อพมีสุ้มเสียง จังหวะ การสอดประสานที่ต่างไปจากสวิงค่อนข้างมาก เช่นจังหวะไม่ได้บังคับเป็น 4/4 เหมือนสวิง ใช้คอร์ดแทน (Alternate chords) เยอะ ในขณะที่โซโลและการแสดงคีตปฏิภาณยังคงวางบนคอร์ดเดิม


เริ่มแรกบ็อพไม่ได้เกิดปรากฏการณ์บูมเหมือนกับสวิง ด้วยท่วงทำนองของบ็อพจะเน้นเป็นดนตรีตามคลับแจ๊สมากกว่าดนตรีเต้นรำ .. นักดนตรีแนวสวิงหลายคนออกจะดูถูกบ็อพ ถึงขนาดบอกว่า 'บ็อพทำให้แจ๊สถอยหลังไปยี่สิบปี' แม้แต่ผู้อาวุโสอย่างอาร์มสตรองยังให้ความเห็นในทางลบ อย่างไรก็ตาม จุดเด่นของบ็อพคือการแสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเองสูง เปรียบเสมือนวัยรุ่นที่แสดงออกทางความคิดอย่างเต็มที่ ไม่นานนัก บ็อพก็เป็นที่นิยม ชาร์ลี พาร์กเกอร์ ดิซซี กิลเลสพี และ ธีโลเนียส มองค์ (Thelonious Monk) ก็กลายเป็นดาวเด่นในแวดวงแจ๊ส ในฐานะที่เปิดแนวทางการพัฒนาใหม่ๆ ให้กับแจ๊ส


แขนงของบ็อพ
ช่วงทศวรรษ 1950 ความนิยมในสวิงเริ่มเสื่อมคลายลง บิ๊กแบนด์หลายวงต้องสลายไป วงดังๆ ก็จำต้องรับงานเฉพาะกิจ แทนที่จะเป็นงานประจำเหมือนแต่ก่อน ..ส่วนเพลงแนวบ็อพ ทำให้เกิดดนตรีอีกหลายแนวตามมา โดยแยกออกเป็นสองส่วนคือ แนวที่แยกไปจากแจ๊สเลย เช่น บูกี้-วูกี้ ริทึมแอนด์บลูส์ และ ร๊อคแอนด์โรล ซึ่งภายหลังก็ผันมาเป็นดิสโก้ และดนตรีเต้นรำอื่นๆ


ส่วนในแขนงของแจ๊ส ในยุคแรก บ๊อพทำให้กำเนิดกระแสสองกระแส ..กระแสแรกคือ คูลแจ๊ส (Cool Jazz) ซึ่งเป็นการผสมแจ๊สเข้ากับเพลงคลาสสิค .. อีกกระแสคือ ฮาร์ดบ็อพ (Hard Bop) ซึ่งผสมเอาบ็อพ ริทึมแอนด์บลูส์ และเพลงในโบสถ์ที่เรียกว่า กอสเพล (Gospel) เข้าด้วยกัน


คูลแจ๊สมีต้นกำเนิดจากงานของไมล์ส เดวิส (Miles Davis) ซึ่งจัดวงเก้าชิ้น อัดอัลบั้ม The Birth of Cool . แม้ขายไม่ดี แต่นักดนตรีแจ๊สให้ความสนใจในเนื้อหาดนตรีมากจนงานชิ้นนี้เรียกติดปากว่า "คูล" ซึ่งกลายเป็นที่มาของ คูลแจ๊ส .. อีกนัยหนึ่งแนวคูลแจ๊ส ไม่ได้เร่าร้อน เร็ว สนุกสนานเหมือนดนตรีแจ๊สที่ผ่านมา หากมีท่วงทำนองช้า บรรยากาศทึมๆ หม่นเทา .. อิทธิพลด้านคลาสสิคของคูลแจ๊สส่วนใหญ่จะมาจากงานของ สตราวินสกี (Igor Stravinsky) และ เดอบุสซี (Claude Debussy) และเพราะอิทธิพลของคลาสสิคที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยมสูง ทำให้บางคนวิจารณ์ว่า คูลบ็อพทำให้แจ็สถอยหลังเข้าคลอง (อีกแล้ว)


ขณะเดียวกัน ทางฝั่งตะวันตกก็มีเพลงแจ๊สที่เรียกกันว่า เวสต์โคสต์ (West Coast Sound) ซึ่งคล้ายคลึงกับคูลแจ๊ส แต่อนุรักษ์นิยมสูงกว่า วงดนตรีเวสต์โคสต์มักไม่มีเปียโนมารวมด้วย ผู้นำของกลุ่มนี้ได้แก่ เช็ต เบเกอร์ (Chet Baker) เจอร์รี มัลลิแกน (Jerry Mulligan) สแตน เก็ตซ์ (Stan Getz) ก็เคยทำงานในแนวนี้ด้วยเช่นกัน


ฮาร์ดบ็อพ หรือ โซลแจ๊ส (Soul Jazz) เป็นอีกสาขาของบ็อพที่แตกออกมา ดนตรีจะออกไปทางดนตรีของคนผิวดำ เช่น ฟังกี้ ริทึมแอนด์บลูส์ โดยมี ไมล์ส เดวิส คลิฟฟอร์ด บราวน์ (Clifford Brown) ซอนนี รอลลินส์ (Sonny Rollins) ฯลฯ เป็นผู้ทดลองงานในสายนี้ .. ในส่วนของเดวิส หลังทำงานคูลแจ๊สไปแล้ว ก็หันมาทำงานฮาร์ดบ็อพ ทำนองเรียบง่าย ใช้บันไดเสียงไมเนอร์ สุ้มเสียงโซโลดูหม่นเทา โศกเศร้า ซึมเซา เหมือนสิ้นหวัง .. ไมล์ส เดวิส ธีโลเนียส มองค์ มิลท์ แจ็กสัน (Milt Jackson) และเคนนี คลาร์ก (Kenny Clark) เคยร่วมงานกันในแนวคูล นับเป็นงานระดับมาสเตอร์พีซของเดวิสเลยทีเดียว ว่ากันว่าเสียงทรัมเป็ตในชุด "เซสชัน" ที่อัดร่วมกันนี้ เป็นที่สุดของเดวิสแล้ว โดยเฉพาะเพลง Bag's Groove แม้เบื้องหลังการทำงานอัลบั้มนี้จะมีข่าวว่าเดวิสและมองค์ขัดแย้งกันอย่างรุนแรงก็ตามที


สิ้นสุดยุคบ็อพ
บ็อพและแขนงของบ็อพมาถึงทางตันราวๆ ทศวรรษที่ 1960 ทำให้มีการโยนหินถามทาง ทดลองดนตรีที่แปลกใหม่ สลับซับซ้อนขึ้น .. และแล้ว ไมล์ส เดวิส และ จอห์น โคลเทรน (John Coltrane) ก็มาลงตัวกับท่วงทำนองที่ใช้ฮาร์โมนีของโหมด (Mode) มากกว่า คอร์ด กลายมาเป็น โมดัสแจ๊ส (Modal Jazz) ในเวลาต่อมา โดยมีอัลบั้ม Kind of Blues ของเดวิส เป็นตัวแทนของการเริ่มต้น การใช้โหมดทำให้นักดนตรีสามารถโซโล หรือแสดงคีตปฏิภาณได้อิสระยิ่งขึ้น เพราะไม่มีข้อจำกัดเรื่องคอร์ดเหมือนที่ผ่านมา จึงเกิดสเกลแปลกใหม่มากมาย


หลังอัลบั้ม Kind of Blue ในปี 1959 ไม่นานนัก ออร์เน็ต โคลแมน (Ornette Coleman) นักแซ็กโซโฟนก็เสนออีกแนวทางหนึ่งที่ให้อิสระยิ่งกว่าโมดัลแจ๊ส คือดนตรีสายฟรีแจ๊ส (Free Jazz) ซึ่งเน้นปฏิสัมพันธ์เป็นแกน อาศัยความรู้สึกและคีตปฏิภาณอย่างหนักหน่วง จนแทบไม่เหลืออะไรเป็นศูนย์กลายของเพลง หลายๆ เพลงไม่มีแม้แต่จังหวะทำนอง ไม่มีห้องดนตรี ถ้าฟังไม่รู้เรื่องจะรู้สึกเหมือนเด็กอนุบาลมาเล่น ดนตรีในแนวฟรีแจ๊สและที่ใกล้เคียงกันในเวลานั้นทั้งหมดเรียกรวมว่า "อวองต์ การ์ด" (Avante Garde) นอกจาก โคลแมนแล้ว ผู้ที่มีชื่อเสียงในฟรีแจ๊ส ก็มี อัลเบิร์ต ไอย์เลอร์ (Albert Ayler) ซึ่งเป็นผู้ชักนำให้ โคลเทรนหันมาสนใจฟรีแจ๊สในระยะหลังๆ


ฟิวชัน
หลังกำเนิดฟรีแจ๊ส ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 ได้เกิดดนตรีแจ๊สอีกแนวที่เรียกว่า ฟิวชัน (Fusion) ซึ่งบ่งชี้ถึงการนำดนตรีสองแนวหรือมากกว่ามาหลอมรวมกัน แต่โดยบริบทในช่วงนั้นจะหมายถึงการรวมดนตรีแจ๊สเข้ากับร็อกเป็นหลัก เพราะช่วงเวลานั้นร็อกแอนด์โรลมีอิทธิพลในกลุ่มวัยรุ่นอย่างมาก .. ไมล์ส เดวิส นักปฏิวัติดนตรีแจ๊ส ก็ได้หยิบเอาโครงสร้างของร็อกมารวมกับแจ๊ส ทดลองใช้เครื่องดนตรีไฟฟ้า เครื่องดนตรีประเภทสังเคราะห์เสียง โดยเริ่มจากอัลบั้ม In A Silent Way ก่อนจะมาเป็นอัลบั้ม Bitches Brew ซึ่งเป็นต้นแบบของแนวฟิวชันในเวลาต่อมา .. Bitches Brew เป็นอัลบั้มที่จุดประกายให้นักดนตรีอีกหลายกลุ่ม เช่น โจ ซาวินูล (Joe Zawinul) จอห์น แมคลาฟลิน (John McLaughlin) เวเธอร์ รีพอร์ต (Weather Report) ฯลฯ


ยุคหลังทศวรรษ 1970 ฟิวชันไม่ได้ครอบคลุมเพียงแจ๊ส-ร็อก หากรวมถึงดนตรียุคหลัง เช่น แจ๊ส-รึทึมแอนด์บลูส์ แจ๊ส-ฟังกี้ แจ๊ส-ป๊อป เป็นต้น ฟิวชันยุคหลังนี้มีอิทธิพลกับแนวดนตรีนิวเอจ (New Age) และ เวิลด์ มิวสิค (World Music) ในเวลาต่อมาโดยมีสังกัด ECM และ วินด์แฮม ฮิล (Windham Hill) เป็นหัวหอก นักดนตรีฟิวชันที่โด่งดังมีหลายคน เช่น คีธ จาร์เร็ต (Keith Jarrett) แพท เมธินี (Pat Metheny) บิลล์ ฟริเซล (Bill Frisell) โตชิโกะ อะกิโยชิ (Toshiko Akiyoshi) ซาดาโอะ วาตานะเบ (Sadao Watanabe) เป็นต้น


ฟิวชันยุคหลัง ทิ้งน้ำหนักไปทางป๊อปมากขึ้น ทำให้ฟังไพเราะติดหูง่าย มีทั้งจังหวะสนุกสนานและซึมเศร้า และในทางตรงข้ามแก่นของแจ๊สก็ถูกลดไปด้วย สัมผัสสวิงลดลง สเกลบลูส์น้อยลง การแสดงคีตปฏิภาณน้อยลง รวมถึงการร้องในแนวแจ๊สก็ลดลงไปด้วย (กลายเป็นร้องแบบป๊อปธรรมดา) เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ที่อนุรักษ์นิยมก็มักดูแคลนฟิวชันในยุคหลังนี้อยู่ไม่น้อย .. อย่างไรก็ตามเพลยฟิวชันยุคหลังกลับได้รับความนิยมค่อนข้างสูง ศิลปินแจ๊สในแนวหลักหลายคนก็หันมาเล่นดนตรีในแนวนี้ด้วย เช่น จอร์จ เบนสัน (George Benson) ซึ่งเดิมเล่นกีตาร์ในแนว เวส มอนต์โกเมอรี (Wes Montgomery) ก็ลดความจัดจ้านลง เจือริทึมแอนด์บลูส์เข้าไปจนกลายเป็นนักดนตรีที่โด่งดัง


ค่ายเพลงที่โด่งดังในฟิวชันยุคหลังนี้ได้แก่ จีอาร์พีเรคอร์ดส (GRP Records) ซึ่งก่อตั้งโดย เดฟ กรูสิน (Dave Grusin) และ ลาร์รี โรเซน (Larry Rosen) ตัวของกรูสินเองก็เป็นนักดนตรีที่ผลิตงานเพลงออกขายด้วย จีอาร์พีมักสร้างงานดนตรีที่มีสุ้มเสียงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เรียกว่า ได้ยินก็บอกได้ว่าเป็นเพลงของค่ายนี้ นักดนตรีของ จีอาร์พี นอกจากกรูสินแล้ว ก็มี ลาร์รี คาร์ลตัน (Larry Carlton) ลี ริทนาวร์ (Lee Ritenour) ทอม สก็อตต์ (Tom Scott) เดวิด เบนัวต์ (David Beniot) ส่วนวงดนตรีในสังกัดก็มี สไปโรไจรา (Spyrogyra) อคูสติก อัลเคมี (Acoustic Alchemy) สเปเชียล เอ็ฟเฟกต์ (SFX) เป็นต้น


นอกค่ายจีอาร์พี ยังมีนักดนตรีในสายเดียวกันนี้อีกหลายคน เช่น เอิร์ล คลูห์ (Earl Klugh) โจ แซมเปิล (Joe Sample) โบนี เจมส์ (Bony James) เดฟ คอซ (Dave Koz) เคนนี จี (Kenny G) หรือหน้าใหม่ๆ ในยุคหลังเช่น ไดอาน่า ครอลล์ (Diana Krall)


จนถึงตอนนี้ดนตรีแนวฟิวชันยุคหลังนี้ยังไม่สามารถแตกแขนงไปในทิศทางใหม่ๆ ได้ จนอาจกล่าวได้ว่า ฟิวชันมาถึงจุดอิ่มตัวและถึงทางตันแล้ว อย่างไรก็ตาม มีความพยายามหาสุ้มเสียงใหม่ๆ จากฟิวชันเหมือนกัน เช่น แอซิดแจ๊ส (Acid Jazz) หรือกรูฟแจ๊ส (Groove Jazz)ซึ่งเป็นผลการผสมระหว่างแจ๊ส โซล ฟังกี้ และฮิปฮอป เช่น เจมีรอไคว (Jemiroquai) อีกแนวที่ใกล้กับแอซิดแจ๊สคือ นูแจ๊ส (Nu Jazz) หรือ อิเล็กโทรแจ๊ส (Electro-Jazz) ซึ่งเกิดในปลายทศวรรษ 1990 โดยนำเนื้อหนังของแจ๊สมาผสมผสานด้วยดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องสังเคราะห์เสียง เช่น วงอิเล็กโทรนิกา (Electronica)


แจ๊สญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่บริโภคดนตรีแจ๊สมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก ในญี่ปุ่นมีคลับแจ๊สดังๆ เหมือนอเมริกา มีนักดนตรีแจ๊สหมุนเวียนมาเล่น หรือจัดคอนเสิร์ตตามหัวเมืองใหญ่ๆ อยู่อย่างต่อเนื่อง หลังๆ นักดนตรีแจ๊สฝั่งอเมริกาและยุโรปข้ามฝั่งมาหากินในญี่ปุ่นมากขึ้น เช่น บ็อบ เจมส์ (Bob James) ก็เคยทำงานดนตรีร่วมกับ เคโกะ มัตสุอิ (Keiko Masui) นักเปียโนชื่อดังของญี่ปุ่น .. ดนตรีแจ๊สญี่ปุ่นได้รับการถ่ายทอดมาจากอเมริกาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ทศวรรษ 1920 จนมาสะดุดเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองเพราะทางการสั่งห้ามดนตรีแจ๊ส (และดนตรีตะวันตก) .. แจ๊สในญี่ปุ่นกลับมาอีกครั้งก็เป็นยุคบ็อพซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก รวมถึงแขนงต่างๆ ของบ็อพด้วย


ดนตรีแจ๊สในญี่ปุ่นเวลานี้เป็นยุคของฟิวชัน อาจเพราะเหตุผลว่าติดหูได้ง่ายและสนุกสนาน .. อย่างไรก็ตาม สุ้มเสียงฟิวชันของญี่ปุ่นมีกลิ่นไอความเป็นเอเซียผสมอยู่ไม่น้อย รวมถึงสัมผัสของเจ-ร็อก (J-Rock) ก็มีปรากฏในดนตรีฟิวชันญี่ปุ่นเช่นกัน ขนาดที่ว่าใช้ 'สแตร็ต' กรีดแทน ตระกูล ES หรือ เลส พอล ก็เคยเห็นมาแล้ว ซึ่งไม่ผิดธรรมเนียมอะไร เพียงแต่มันบ่งบอกบุคลิกเพลงได้เหมือนกัน ด้วยเหตุดังกล่าวดนตรีแจ๊สญี่ปุ่นจึงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในทำนองเดียวกับ เจ-ป๊อป และ เจ-ร็อก ... วงดนตรีแจ๊สญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมสูงได้แก่ แคสิโอเปีย (Casiopea) ที-สแควร์ (T-Square) และ จิมซาคุ (Jimsaku) เป็นสามหัวหอกหลัก ระยะหลังทั้งสามวงออกทัวร์ต่างประเทศบ่อยครั้ง ร่วมงานกับนักดนตรีตะวันตกหลายคน


แจ๊สในไทย
ดนตรีแจ๊สในประเทศไทยอาจจะไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนักในกลุ่มวัยรุ่น (a.k.a. เด็กแนว) นักดนตรีจึงมีไม่มาก ยิ่งนักร้องแจ๊สแท้ๆ ในเมืองไทย แทบไม่เหลือเลย .. นักดนตรีแจ๊สในไทยผมไล่ได้เพียงสายฟิวชัน เริ่มต้นจาก อินฟินิตี้ เทวัญ ทรัพย์แสนยากร ภูษิต ไล้ทอง ที-โบน กลุ่มนี้หาเพลงฟังได้ยากแล้ว ส่วนที่สดใหม่ก็จะมี โก้-เศกพล อุ่นสำราญ ซึ่งเคยฝึกกับอินฟินิตี้ และเป็นสมาชิกรุ่นก่อตั้งวงบอยไทย ก่อนจะออกอัลบั้มของตัวเอง ที่ได้ยินอีกคนคือ ดร.กะทิ-สิราภรณ์ มันตาภรณ์ นักกีตาร์แจ๊สแนวละตินฝีมือดีที่มีความคิดอ่านแกร่งกร้าวมากๆ

ในอีกท่านหนึ่ง ไม่ใช่ว่าคนไทยไม่สนใจดนตรีแนวนี้ จริงๆ มีผู้ฟังคนไทยอยู่กลุ่มใหญ่ทีเดียวที่ชื่นชอบดนตรีแจ๊ส สังเกตได้จากงานคอนเสิร์ตแจ๊ส และขาประจำผับแจ๊สในกรุง และขาประจำห้องแจ๊สใน pantip.com โดยส่วนใหญ่มักนิยมฟิวชัน ละติน ฟังก์ ซึ่งฟังง่ายกว่า จะมีที่ฟังบ็อพหรือสแตนดาร์ดอยู่ประปราย

Jazz up my life
อย่างที่เคยบ่นใน blog ไปแล้วว่า ผมเริ่มต้นกับเทปผีพีค็อก (ได้รับอกุศลบุญทางดนตรีจากเทปค่ายนี้อย่างมาก รองลงมาคงเป็นแวมไพร์เรคอร์ด :P) และเริ่มต้นฟังฟิวชันกับอินฟินิตี้ราวๆ สิบกว่าปีก่อน (สมัยไนท์สปอตและ WEA) และค่อยๆ ขยายออกไปในแนวอื่น หาฟังจากอัลบั้มที่ดังๆ อย่าง Bitches Brew, Kind of Blues ของไมล์ส เดวิส Portrait in Jazz ของ บิลล์ อีแวนส์ Virtuoso ของ โจ แพส ฯลฯ อัลบั้มพวกนี้ผมฟังเป็นตัวอ้างอิงเป็นหลัก ไม่เกี่ยวกับชอบหรือไม่ชอบ ฟังอย่างตั้งใจหาเนื้อหนังกันเลย .. และเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ค่อยชอบฟังแจ๊สที่เนื้อหาอิ่มมากๆ อย่างอัลบั้มอ้างอิงพวกนี้ บางเพลง ฟังแล้วมึน เครียดจนปวดหัวไปเลยก็เคยเป็นมาแล้ว

เพลงที่ชอบฟังก็เลยกลายเป็นเพลงที่แจ๊สไม่จัดจ้านมาก ในแนวฟิวชัน ละติน adult contemporary และนิวเอจ ที่โปรดปรานเป็นพิเศษ ก็มี ที-สแควร์, ลี ริทนาวร์, บ็อบ เจมส์, ลาร์รี คาร์ลตัน, โฟร์เพลย์, แคสิโอเปีย, เอิร์ล คลูห์, จอร์จ วินสตัน ศิลปินไทยก็ไม่พ้น อินฟินิตี้ บอยไทย และ โก้ ส่วน ดร.กะทิ ไม่เคยฟังงานเต็มๆ แต่ได้ฟังแสดงสด ซึ่งชอบเพราะเป็นเพลงของ อันโตนิโอ คาร์ลอส โจบิม (Antonio Carlos Jobim) เป็นทุนอยู่แล้ว

แผ่นซีดี.. เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ซื้อเท่าไหร่ แต่ซื้อทีก็ทุ่มทุนสร้างถล่มทลายเหมือนกัน .. ถ้าจะให้ตระเวนหาก็คงมีที่ เจไดมิวสิค ร็อกซ์ตรงข้ามพันธุ์ทิพย์ วาเลนไทน์ทุกสาขา (เข้าไปดูห้องแจ๊สนะครับ ตรงหน้าร้านมันมีแต่แดนส์กระจาย) ทาวเวอร์เรคอร์ดสก็มี .. ที่ขอนแก่นมีร้านของอาเจ็กติดๆ ร้านเคี้ยง ถ.ศรีจันทร์ .. ร้านนี้ผมซื้อตั้งแต่เทปผีพีค็อกที่อาเจ็กขายอยู่แถวถนนหน้าเมืองก่อนจะย้ายมาร้านปัจจุบัน

ดีวีดีคอนเสิร์ตแจ๊สระยะหลังๆ มีเข้ามาเยอะขึ้น แผ่นถูกลิขสิทธิ์ของบริษัท United Home Entertainment ราคาไม่แพงกว่าของเถื่อนเท่าไหร่ บางร้านขายถูกกว่าของเถื่อนอีก หาซื้อได้ตามร้านซีดี ดีวีดี และห้างไอทีทั่วไป หรือไม่ก็สั่งออนไลน์กับเจไดมิวสิคได้ .. ส่วนแผ่นเถื่อน แม่สาย มาเลย์ คงรู้แหล่งกันอยู่แล้ว

หากจะเอาบรรยากาศตามผับ เวลานี้ได้ยินกล่าวถึงบ่อยครั้งมีสองแห่งคือที่ แซ็กโซโฟนผับ อนุสาวรีย์ชัยฯ และบราวน์ซูการ์ หลังสวน ทั้งสองร้านมีดนตรีผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนในหนึ่งสัปดาห์ ชอบสไตล์ไหนเป็นพิเศษควรเลือกวันด้วย .. :)

ประวัติเพลงชาติไทย

ประวัติเพลงชาติไทย

ปี พ.ศ. 2395 ในปลายรัชสมัย พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้มีนายทหารอังกฤษ 2 คนชื่อ ร้อยเอกอิมเปย์ (Impey) และ ร้อยเอกน๊อกซ์ (Thomas G. Knox) เข้ามาเป็นครูฝึกทหารเกณฑ์ ในวังหลวงและวังหน้า ได้ใช้เพลง 'God Save the Queen' ซึ่งเป็นเพลงประจำชาติของอังกฤษเป็นเพลงฝึกสำหรับทหารแตร

ซึ่งในการฝึกทหารของไทยสมัยนั้น ใช้ตามแบบอย่างของประเทศอังกฤษทั้งหมด ดังนั้นเพลง 'God Save the Queen' จึงถูกใช้เป็นเพลงเกียรติยศสำหรับกองทหารไทยใช้ถวายความเคารพต่อพระมหากษัตริย์ด้วย และเรียกกันว่า 'เพลงสรรเสริญพระบารมีอังกฤษ'

ต่อมา พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ได้ประพันธ์เนื้อร้องขึ้นมาใหม่ โดยใช้ทำนองของเพลง 'God Save the Queen' และตั้งชื่อเพลงขึ้นใหม่ว่า 'จอมราชจงเจริญ' และนี่นับเป็นเพลงชาติฉบับแรกของประเทศสยาม

แต่ในปี พ.ศ. 2414 เมื่อ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จประพาสเมืองสิงคโปร์ ในขณะนั้นสิงคโปร์ยังเป็นเมืองขึ้นของประเทศอังกฤษอยู่ กองทหารดุริยางค์ สิงคโปร์ก็ได้บรรเลงเพลง 'God Save the Queen' เพื่อถวายความเคารพเช่นกัน พระองค์จึงทรงตระหนักว่าประเทศสยาม จำเป็นจะต้องมีเพลงชาติที่เป็นของตัวเองขึ้น เพื่อแสดงถึงความเป็นเอกราชของชาติ

ครั้นเมื่อทรงเสด็จกลับถึงพระนคร จึงได้โปรดให้ตั้งคณะครูดนตรีไทยขึ้น เพื่อทรงปรึกษาหาเพลงชาติที่มีความเป็นไทยมาใช้แทนเพลง 'จอมราชจงเจริญ' และคณะครูดนตรีไทย ได้เลือก 'เพลงทรงพระสุบัน' หรือ 'เพลงบุหลันลอยเลื่อน' ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 โดยนำมาเรียบเรียงใหม่ ให้มีความเป็น สากลขึ้นโดย เฮวุดเซน (Heutsen) ซึ่งก็นับเป็นเพลงชาติไทยฉบับที่สอง และใช้บรรเลงในระหว่างปี พ.ศ. 2414-2431

สำหรับ เพลงชาติไทยฉบับที่สาม คือ 'เพลงสรรเสริญพระบารมี' อย่างที่ยังได้ยินในปัจจุบันนั่นเอง ซึ่งเพลงนี้ประพันธ์โดย ปโยตร์ สชูโรฟสกี้ (Pyotr Schurovsky) นักประพันธ์ชาวรัสเซีย คำร้องเป็นพระนิพนธ์ของ สมเด็จฯ กรมพระนริศรานุวัตติวงศ์ ใช้บรรเลงเป็นเพลงชาติ ในระหว่างปี พ.ศ.2431-2475

เพลงชาติไทยฉบับที่สี่ คือ 'เพลงชาติมหาชัย' ใช้เป็นเพลงชาติ ในระหว่างการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี พ.ศ. 2475 โดยอาศัยทำนอง เพลงมหาชัย ส่วนคำร้องนั้นประพันธ์โดย เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เพื่อใช้ขับร้อง และบรรเลงปลุกเร้าใจประชาชน ก่อให้เกิดความรักชาติและสร้างความสามัคคี ในระหว่าง ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

เพลงชาติไทยฉบับที่ห้า คือ เพลงชาติฉบับ พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร หรือชื่อเดิม ปีเตอร์ ไฟท์ (Peter Feit) เป็นชาวต่างชาติ) ผู้ประพันธ์ทำนอง ซึ่งเป็นทำนองของเพลงชาติไทยในปัจจุบันนี่เอง ซึ่งประพันธ์ขึ้นเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2475 และประพันธ์เนื้อร้องโดย ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) บรรเลงครั้งแรก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคมเมื่อ วันที่ 7 กรกฎาคม 2475 ใช้ในระหว่าง ปี 2475-2477

กำเนิดของเพลงชาติฉบับที่ 6 นั้นมาจากในปี พ.ศ. 2477 รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาเพลงชาติขึ้น ซึ่งมีหน้าที่พิจารณาเกี่ยวกับเพลงชาติโดยเฉพาะ คณะกรรมการได้กำหนดให้มีเพลงชาติแบบไทยและแบบสากล อย่างละเพลงคือ แบบไทยได้แก่เพลงชาติของ จางวางทั่ว พาทยโกศล ที่แต่งขึ้นจากเพลงไทยเดิมชิ่อว่า 'ตระนิมิตร' ส่วนทางสากลได้แก่ เพลงชาติเดิมของพระเจนดุริยางค์ที่แต่งไว้แล้ว แต่ในเวลาต่อมาคณะกรรมการชุดนี้ ได้พิจารณาว่าเพลงชาตินั้นควรจะมีลักษณะที่บ่งบอกถึงความศักดิ์สิทธิ์ ถ้ามีสองเพลงอาจทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ลดลง จึงตกลงว่าให้มีเพลงเดียวคือ แบบทำนองสากลของพระเจนดุริยางค์ แต่ได้จัดให้มีการประกวดเนื้อร้องขึ้นใหม่ และคณะกรรมการได้สรุปผลให้บทร้องของ ขุนวิจิตรมาตรา ผู้แต่งเดิมซึ่งดัดแปลงจากเนื้อร้องเดิมของตนเล็กน้อยได้รับรางวัลชนะเลิศ (ซึ่งเป็นเพลงชาติไทยฉบับที่เพื่อนๆ กำลังฟังอยู่ในบล็อคนี้นี่แหล่ะครับ)

และเพลงชาติไทยฉบับที่ 7 ในปี พ.ศ. 2482 มีการเปลี่ยนชื่อประเทศจากคำว่า 'สยาม' มาเป็น 'ไทย' ทำให้จำต้องแก้ไขเนื้อร้องในเพลงชาติด้วย รัฐบาลจึงได้จัดประกวดเนื้อร้องเพลงชาติไทยขึ้นใหม่ โดยใช้ทำนองเพลงชาติไทย ของพระเจนดุริยางค์ตามแบบเดิมซึ่งผู้ชนะการประกวดได้แก่ นายพันเอกหลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) และได้กลายมาเป็นเพลงชาติฉบับที่ 7

ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศใช้เพลงชาติไทยฉบับที่ 7 นี้ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2482 และเป็นฉบับที่ถูกใช้มาจนปัจจุบันนี้ครับ