24 เมษายน 2553

แจ็ส

เชื่อกันว่าดนตรีแจ๊สมีต้นกำเนิดราวทศวรรษ 1920 โดยวงดนดรีวงแรกที่นำสำเนียงแจ๊สมาสู่ผู้ฟังหมู่มากคือ ดิ ออริจินัล ดิกซีแลนด์ แจ๊ส แบนด์ (The Original Dixieland Jazz Band: ODJB) ด้วยจังหวะเต้นรำที่แปลกใหม่ ทำให้โอดีเจบีเป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างมาก พร้อมกับให้กำเนิดคำว่า "แจ๊ส" ตามชื่อวงดนตรี โอดีเจบีสามารถขายแผ่นได้ถึงล้านแผ่น .. อย่างไรก็ตามโอดีเจบีไม่ได้เป็นผู้ให้กำเนิดท่วงทำนองดังกล่าว หากแต่นำสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาจากเพลงพื้นบ้านในแถบนิวออร์ลีนส์มาประยุกต์อีกที มีการวิเคราะห์รากลึกของแจ๊สในหลายทาง หนึ่งในนั้นคือเกิดจากดนตรีของกลุ่มทาสที่เดินทางมาจากแอฟริกาเพื่อเป็นแรงงานเกษตรกรรม กลุ่มทาสเหล่านี้มีพื้นฐานในเรื่องจังหวะมาจากเพลงพื้นบ้านหรือดนตรีในพิธีทางศาสนาอยู่แล้ว



ประกอบกับได้ซึมซับดนตรีของคนผิวขาว จากยุโรป จึงเกิดการผสมผสานกันกลายเป็นเพลงบลูส์ (Blues) วิเคราะห์กันว่าโน๊ตที่แปลกแปร่งของบลูส์ เกิดจากการที่คนผิวดำเหล่านี้เรียนรู้ดนตรีจากการฟังเป็นพื้นฐาน จึงเล่นดนตรีแบบถูกบ้างผิดบ้าง เพราะจำมาไม่ครบถ้วน มีการขยายความด้วยความพึงพอใจของตัวเองเป็นหลัก ซึ่งกลายเป็นที่มาของคีตปฏิภาณ (Improvisation) ในภายหลัง .. ดนตรีแร็กไทม์ (Ragtime) ก็เชื่อว่ามีต้นกำเนิดคล้ายๆ กันคือ เกิดจากดนตรียุโรปผสมกับจังหวะขัดของแอฟริกัน .. บลูส์และแร็กไทม์นี่เองที่เป็นรากของดนตรีแจ๊สในเวลาต่อมา

แร็กไทม์มีช่วงเวลาที่รุ่งเรืองอยู่ราวๆ ทศวรรษ 1890 ถึง 1910 มีเสน่ห์และเอกลักษณ์ที่จังหวะขัด (Syncopation) นักดนตรีแร็กไทม์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคนหนึ่งก็คือ สก็อตต์ จอปลิน (Scott Joplin) ผู้ประพันธ์เพลงที่เราคุ้นหูหลายๆ เพลง เช่น The Entertainer, Maple Leaf Rag, Elite Syncopations, Peacherine Rag เป็นต้น หากไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน แนะนำให้หาฟังดูแล้วจะร้องอ๋อ .. หรือถ้าชอบดูหนังลองหา The Sting มาดู มีเพลงของจอปลินประกอบเกือบทั้งเรื่อง หรือไม่ก็ The Legend of 1900 (UBC เคยเอามาฉาย) แม้เรื่องหลังนี้จะกล่าวถึงดนตรีแจ๊ส แต่มีหลายเพลงที่มีกลิ่นรสของแร็กไทม์ที่เข้มข้นทีเดียวโดยเฉพาะตอนดวลเปียโน


เพลงบลูส์เริ่มได้รับความนิยมในช่วงเวลาเดียวกันกับแร็กไทม์ ปลายๆ ทศวรรษ 1910 เพลงบลูส์และแร็กไทม์ถูกผสมผสานจนกลมกลืนโดยมีหัวหอกคือ บัดดี โบลเดน (Charles Joseph 'Buddy' Bolden) เป็นผู้ริเริ่ม หากแต่เวลานั้นยังไม่มีการประดิษฐ์คำว่าแจ๊สขึ้นมา และเรียกดนตรีเหล่านี้รวมๆ กันว่า "ฮ็อต มิวสิค" (Hot Music) จนกระทั่งโอดีเจบีโด่งดัง คำว่า แจ๊ส จึงเป็นคำที่ใช้เรียกขานกันทั่ว .. แจ๊สในยุคแรกนี้เรียกกันว่าเป็น แจ๊สดั้งเดิม หรือ นิวออร์ลีนส์แจ๊ส


สวิง และ บิ๊กแบนด์
ช่วงเวลาที่สหรัฐเขาร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ทางการสั่งปิดสถานเริงรมณ์ในนิวออร์ลีนส์ ทำให้นักดนตรีส่วนใหญ่เดินทางมาหากินในชิคาโก นิวยอร์ก และ ลอสแองเจลลิส ทั้งสามเมืองจึงกลายเป็นแหล่งบ่มเพาะนักดนตรีแจ๊สในช่วงนั้น .. ชิคาโกดูจะเป็นเมืองที่มีความก้าวหน้าทางดนตรีแจ็สเหนือกว่าอีกสองเมือง เพราะมีนักดนตรีมาทำงานมาก ชิคาโกเป็นเมืองที่ทำให้ หลุยส์ อาร์มสตรอง (Louis Armstrong) เป็นที่รู้จัก และกลายเป็นนักดนตรี/นักร้องแจ๊สชื่อก้องโลกในเวลาต่อมา ในด้านการพัฒนา ชิคาโกมีดนตรีแจ๊สที่สืบสายมาจากนิวออร์ลีนส์แต่มีลักษณะเฉพาะตัว เสียงจัดจ้าน มีการทดลองจัดวงในแบบของตัวเอง เริ่มเอาเครื่องดนตรีใหม่ๆ เช่น แซ็กโซโฟนมาใช้รวมกับ คอร์เน็ต ทรัมเป็ต มีการทดลองแนวดนตรีใหม่ๆ เช่น การเล่นเปียโนแบบสไตรด์ (Stride piano) ของเจมส์ จอห์นสัน (James P. Johnson) ซึ่งมีพื้นฐานจากแร็กไทม์ การทดลองลากโน้ตให้ยาวจนผู้ฟังคาดเดาได้ยากของอาร์มสตรอง และการปรับแพทเทิร์นของจังหวะกันใหม่เป็น Chicago Shuffle


ส่วนนิวยอร์กรับหน้าที่เป็นศูนย์กลางของแจ๊สในยุคปลายทศวรรษ 1920 แทนชิคาโก สุ้มเสียงของดนตรีแจ๊สในนิวยอร์กพัฒนาเพื่อเป็นดนตรีเต้นรำให้ความสนุกสนานบันเทิง และเป็นบ่อเกิดของ สวิง (Swing) และ บิ๊กแบนด์ (Big Band) ในเวลาต่อมา


"สวิง" ในบริบทของแจ๊ส หมายถึงอิสระในการแสดงความคิดทางดนตรี ชื่อสวิงนี้มีที่มาจากจังหวะที่ฟังแล้วเหมือนไม่ลงตัว หรือเหมือนกับจังหวะมัน 'แกว่ง' นั่นเอง สวิงเป็นดนตรีที่ก่อให้เกิดการจัดวงแบบใหม่ที่เรียกว่า "บิ๊กแบนด์" ซึ่งมีการแบ่งโครงสร้างเครื่องดนตรีเป็นสามส่วนคือ เครื่องทองเหลือง เครื่องลมไม้ และเครื่องให้จังหวะ ... ที่แจ้งเกิตตามมาในยุคนี้ก็คือนักร้องแจ๊ส เช่น เอลลา ฟิทช์เจอรัลด์ (Ella Fitzgerald) บิลลี ฮอลิเดย์ (Billy Holiday) และหลุยส์ อาร์มสตรอง .. จุดเด่นมากๆ ของนักร้องแจ๊สคือการ "สแกต" (Scat) หรือเปล่งเสียง ฮัมเพลง แทนเครื่องดนตรี ซึ่งนับเป็นการแสดงคีตปฏิภาณของนักร้อง


หากพูดถึงสวิงแล้วคงยากที่จะเลี่ยงการกล่าวถึงผู้ที่ได้รับฉายาว่า ราชาแห่งสวิง "เบนนี กู๊ดแมน" (Benny Goodman) ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับพระราชทานพระราชวโรกาสให้ร่วมเล่นดนตรีกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว .. เบนนี กู๊ดแมน เป็นนักคลาริเน็ต ก่อตั้งวงของตัวเองออกเดินสายเปิดคอนเสิร์ต พร้อมกับพัฒนาแนวทางดนตรีใหม่ๆ ไปด้วย วงบิ๊กแบนด์ของกู๊ดแมน มีลักษณะต่างจากวงอื่นๆ ในยุคนั้นตรงที่ เปิดโอกาสให้นักดนตรีคนอื่นในวงได้เล่นโซโล แสดงความสามารถเต็มที่ กลายเป็นที่ชื่นชอบของผู้ฟัง นอกจากนี้วงของกู๊ดแมนยังมีนักดนตรีทั้งผิวขาวและผิวดำปะปนกัน จึงได้รับการชื่นชมจากผู้ฟังจำนวนมาก .. ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น นอกจากวงของกู๊ดแมนแล้ว ที่โด่งดังไม่แพ้กันก็ยังมีวงของ ดุ๊ก เอลลิงตัน (Duke Ellington) และวงของ เคาน์ เบซี (William Count Basie)


บ็อพ
เพลงสวิงมาถึงจุดอิ่มตัวเมื่อนักดนตรีเริ่มเบื่อหน่ายการจัดวงและการเรียบเรียงที่ค่อนข้างตายตัว จึงเริ่มเกิดการหาแนวทางใหม่ๆ เล่นตามความพอใจหลังการซ้อมหรือเล่นดนตรี หรือเรียกว่า "แจม" (Jam session) นั่นเอง .. และจากการแจมนี่เองทำให้ ชาร์ลี "เบิร์ด" พาร์คเกอร์ (Charlie "Bird" Parker) นักแซ็กโซโฟน และ ดิซซี่ กิลเลสปี (Dizzy Gillespie) นักทรัมเป็ต เสนอแจ๊สในแนวทางใหม่ขึ้นมา เมื่อทั้งสองร่วมตั้งวงห้าชิ้นและออกอัลบั้มตามแนวทางดังกล่าว คำว่า "บีบ็อพ" (Bebop) "รีบ็อพ" (Rebop) หรือ "บ็อพ" (Bop) ก็กลายเป็นคำติดปากของผู้ฟัง คำว่าบีบ็อพเชื่อกันว่ามาจากสแกตของโน้ตสองตัว บ็อพมีสุ้มเสียง จังหวะ การสอดประสานที่ต่างไปจากสวิงค่อนข้างมาก เช่นจังหวะไม่ได้บังคับเป็น 4/4 เหมือนสวิง ใช้คอร์ดแทน (Alternate chords) เยอะ ในขณะที่โซโลและการแสดงคีตปฏิภาณยังคงวางบนคอร์ดเดิม


เริ่มแรกบ็อพไม่ได้เกิดปรากฏการณ์บูมเหมือนกับสวิง ด้วยท่วงทำนองของบ็อพจะเน้นเป็นดนตรีตามคลับแจ๊สมากกว่าดนตรีเต้นรำ .. นักดนตรีแนวสวิงหลายคนออกจะดูถูกบ็อพ ถึงขนาดบอกว่า 'บ็อพทำให้แจ๊สถอยหลังไปยี่สิบปี' แม้แต่ผู้อาวุโสอย่างอาร์มสตรองยังให้ความเห็นในทางลบ อย่างไรก็ตาม จุดเด่นของบ็อพคือการแสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเองสูง เปรียบเสมือนวัยรุ่นที่แสดงออกทางความคิดอย่างเต็มที่ ไม่นานนัก บ็อพก็เป็นที่นิยม ชาร์ลี พาร์กเกอร์ ดิซซี กิลเลสพี และ ธีโลเนียส มองค์ (Thelonious Monk) ก็กลายเป็นดาวเด่นในแวดวงแจ๊ส ในฐานะที่เปิดแนวทางการพัฒนาใหม่ๆ ให้กับแจ๊ส


แขนงของบ็อพ
ช่วงทศวรรษ 1950 ความนิยมในสวิงเริ่มเสื่อมคลายลง บิ๊กแบนด์หลายวงต้องสลายไป วงดังๆ ก็จำต้องรับงานเฉพาะกิจ แทนที่จะเป็นงานประจำเหมือนแต่ก่อน ..ส่วนเพลงแนวบ็อพ ทำให้เกิดดนตรีอีกหลายแนวตามมา โดยแยกออกเป็นสองส่วนคือ แนวที่แยกไปจากแจ๊สเลย เช่น บูกี้-วูกี้ ริทึมแอนด์บลูส์ และ ร๊อคแอนด์โรล ซึ่งภายหลังก็ผันมาเป็นดิสโก้ และดนตรีเต้นรำอื่นๆ


ส่วนในแขนงของแจ๊ส ในยุคแรก บ๊อพทำให้กำเนิดกระแสสองกระแส ..กระแสแรกคือ คูลแจ๊ส (Cool Jazz) ซึ่งเป็นการผสมแจ๊สเข้ากับเพลงคลาสสิค .. อีกกระแสคือ ฮาร์ดบ็อพ (Hard Bop) ซึ่งผสมเอาบ็อพ ริทึมแอนด์บลูส์ และเพลงในโบสถ์ที่เรียกว่า กอสเพล (Gospel) เข้าด้วยกัน


คูลแจ๊สมีต้นกำเนิดจากงานของไมล์ส เดวิส (Miles Davis) ซึ่งจัดวงเก้าชิ้น อัดอัลบั้ม The Birth of Cool . แม้ขายไม่ดี แต่นักดนตรีแจ๊สให้ความสนใจในเนื้อหาดนตรีมากจนงานชิ้นนี้เรียกติดปากว่า "คูล" ซึ่งกลายเป็นที่มาของ คูลแจ๊ส .. อีกนัยหนึ่งแนวคูลแจ๊ส ไม่ได้เร่าร้อน เร็ว สนุกสนานเหมือนดนตรีแจ๊สที่ผ่านมา หากมีท่วงทำนองช้า บรรยากาศทึมๆ หม่นเทา .. อิทธิพลด้านคลาสสิคของคูลแจ๊สส่วนใหญ่จะมาจากงานของ สตราวินสกี (Igor Stravinsky) และ เดอบุสซี (Claude Debussy) และเพราะอิทธิพลของคลาสสิคที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยมสูง ทำให้บางคนวิจารณ์ว่า คูลบ็อพทำให้แจ็สถอยหลังเข้าคลอง (อีกแล้ว)


ขณะเดียวกัน ทางฝั่งตะวันตกก็มีเพลงแจ๊สที่เรียกกันว่า เวสต์โคสต์ (West Coast Sound) ซึ่งคล้ายคลึงกับคูลแจ๊ส แต่อนุรักษ์นิยมสูงกว่า วงดนตรีเวสต์โคสต์มักไม่มีเปียโนมารวมด้วย ผู้นำของกลุ่มนี้ได้แก่ เช็ต เบเกอร์ (Chet Baker) เจอร์รี มัลลิแกน (Jerry Mulligan) สแตน เก็ตซ์ (Stan Getz) ก็เคยทำงานในแนวนี้ด้วยเช่นกัน


ฮาร์ดบ็อพ หรือ โซลแจ๊ส (Soul Jazz) เป็นอีกสาขาของบ็อพที่แตกออกมา ดนตรีจะออกไปทางดนตรีของคนผิวดำ เช่น ฟังกี้ ริทึมแอนด์บลูส์ โดยมี ไมล์ส เดวิส คลิฟฟอร์ด บราวน์ (Clifford Brown) ซอนนี รอลลินส์ (Sonny Rollins) ฯลฯ เป็นผู้ทดลองงานในสายนี้ .. ในส่วนของเดวิส หลังทำงานคูลแจ๊สไปแล้ว ก็หันมาทำงานฮาร์ดบ็อพ ทำนองเรียบง่าย ใช้บันไดเสียงไมเนอร์ สุ้มเสียงโซโลดูหม่นเทา โศกเศร้า ซึมเซา เหมือนสิ้นหวัง .. ไมล์ส เดวิส ธีโลเนียส มองค์ มิลท์ แจ็กสัน (Milt Jackson) และเคนนี คลาร์ก (Kenny Clark) เคยร่วมงานกันในแนวคูล นับเป็นงานระดับมาสเตอร์พีซของเดวิสเลยทีเดียว ว่ากันว่าเสียงทรัมเป็ตในชุด "เซสชัน" ที่อัดร่วมกันนี้ เป็นที่สุดของเดวิสแล้ว โดยเฉพาะเพลง Bag's Groove แม้เบื้องหลังการทำงานอัลบั้มนี้จะมีข่าวว่าเดวิสและมองค์ขัดแย้งกันอย่างรุนแรงก็ตามที


สิ้นสุดยุคบ็อพ
บ็อพและแขนงของบ็อพมาถึงทางตันราวๆ ทศวรรษที่ 1960 ทำให้มีการโยนหินถามทาง ทดลองดนตรีที่แปลกใหม่ สลับซับซ้อนขึ้น .. และแล้ว ไมล์ส เดวิส และ จอห์น โคลเทรน (John Coltrane) ก็มาลงตัวกับท่วงทำนองที่ใช้ฮาร์โมนีของโหมด (Mode) มากกว่า คอร์ด กลายมาเป็น โมดัสแจ๊ส (Modal Jazz) ในเวลาต่อมา โดยมีอัลบั้ม Kind of Blues ของเดวิส เป็นตัวแทนของการเริ่มต้น การใช้โหมดทำให้นักดนตรีสามารถโซโล หรือแสดงคีตปฏิภาณได้อิสระยิ่งขึ้น เพราะไม่มีข้อจำกัดเรื่องคอร์ดเหมือนที่ผ่านมา จึงเกิดสเกลแปลกใหม่มากมาย


หลังอัลบั้ม Kind of Blue ในปี 1959 ไม่นานนัก ออร์เน็ต โคลแมน (Ornette Coleman) นักแซ็กโซโฟนก็เสนออีกแนวทางหนึ่งที่ให้อิสระยิ่งกว่าโมดัลแจ๊ส คือดนตรีสายฟรีแจ๊ส (Free Jazz) ซึ่งเน้นปฏิสัมพันธ์เป็นแกน อาศัยความรู้สึกและคีตปฏิภาณอย่างหนักหน่วง จนแทบไม่เหลืออะไรเป็นศูนย์กลายของเพลง หลายๆ เพลงไม่มีแม้แต่จังหวะทำนอง ไม่มีห้องดนตรี ถ้าฟังไม่รู้เรื่องจะรู้สึกเหมือนเด็กอนุบาลมาเล่น ดนตรีในแนวฟรีแจ๊สและที่ใกล้เคียงกันในเวลานั้นทั้งหมดเรียกรวมว่า "อวองต์ การ์ด" (Avante Garde) นอกจาก โคลแมนแล้ว ผู้ที่มีชื่อเสียงในฟรีแจ๊ส ก็มี อัลเบิร์ต ไอย์เลอร์ (Albert Ayler) ซึ่งเป็นผู้ชักนำให้ โคลเทรนหันมาสนใจฟรีแจ๊สในระยะหลังๆ


ฟิวชัน
หลังกำเนิดฟรีแจ๊ส ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 ได้เกิดดนตรีแจ๊สอีกแนวที่เรียกว่า ฟิวชัน (Fusion) ซึ่งบ่งชี้ถึงการนำดนตรีสองแนวหรือมากกว่ามาหลอมรวมกัน แต่โดยบริบทในช่วงนั้นจะหมายถึงการรวมดนตรีแจ๊สเข้ากับร็อกเป็นหลัก เพราะช่วงเวลานั้นร็อกแอนด์โรลมีอิทธิพลในกลุ่มวัยรุ่นอย่างมาก .. ไมล์ส เดวิส นักปฏิวัติดนตรีแจ๊ส ก็ได้หยิบเอาโครงสร้างของร็อกมารวมกับแจ๊ส ทดลองใช้เครื่องดนตรีไฟฟ้า เครื่องดนตรีประเภทสังเคราะห์เสียง โดยเริ่มจากอัลบั้ม In A Silent Way ก่อนจะมาเป็นอัลบั้ม Bitches Brew ซึ่งเป็นต้นแบบของแนวฟิวชันในเวลาต่อมา .. Bitches Brew เป็นอัลบั้มที่จุดประกายให้นักดนตรีอีกหลายกลุ่ม เช่น โจ ซาวินูล (Joe Zawinul) จอห์น แมคลาฟลิน (John McLaughlin) เวเธอร์ รีพอร์ต (Weather Report) ฯลฯ


ยุคหลังทศวรรษ 1970 ฟิวชันไม่ได้ครอบคลุมเพียงแจ๊ส-ร็อก หากรวมถึงดนตรียุคหลัง เช่น แจ๊ส-รึทึมแอนด์บลูส์ แจ๊ส-ฟังกี้ แจ๊ส-ป๊อป เป็นต้น ฟิวชันยุคหลังนี้มีอิทธิพลกับแนวดนตรีนิวเอจ (New Age) และ เวิลด์ มิวสิค (World Music) ในเวลาต่อมาโดยมีสังกัด ECM และ วินด์แฮม ฮิล (Windham Hill) เป็นหัวหอก นักดนตรีฟิวชันที่โด่งดังมีหลายคน เช่น คีธ จาร์เร็ต (Keith Jarrett) แพท เมธินี (Pat Metheny) บิลล์ ฟริเซล (Bill Frisell) โตชิโกะ อะกิโยชิ (Toshiko Akiyoshi) ซาดาโอะ วาตานะเบ (Sadao Watanabe) เป็นต้น


ฟิวชันยุคหลัง ทิ้งน้ำหนักไปทางป๊อปมากขึ้น ทำให้ฟังไพเราะติดหูง่าย มีทั้งจังหวะสนุกสนานและซึมเศร้า และในทางตรงข้ามแก่นของแจ๊สก็ถูกลดไปด้วย สัมผัสสวิงลดลง สเกลบลูส์น้อยลง การแสดงคีตปฏิภาณน้อยลง รวมถึงการร้องในแนวแจ๊สก็ลดลงไปด้วย (กลายเป็นร้องแบบป๊อปธรรมดา) เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ที่อนุรักษ์นิยมก็มักดูแคลนฟิวชันในยุคหลังนี้อยู่ไม่น้อย .. อย่างไรก็ตามเพลยฟิวชันยุคหลังกลับได้รับความนิยมค่อนข้างสูง ศิลปินแจ๊สในแนวหลักหลายคนก็หันมาเล่นดนตรีในแนวนี้ด้วย เช่น จอร์จ เบนสัน (George Benson) ซึ่งเดิมเล่นกีตาร์ในแนว เวส มอนต์โกเมอรี (Wes Montgomery) ก็ลดความจัดจ้านลง เจือริทึมแอนด์บลูส์เข้าไปจนกลายเป็นนักดนตรีที่โด่งดัง


ค่ายเพลงที่โด่งดังในฟิวชันยุคหลังนี้ได้แก่ จีอาร์พีเรคอร์ดส (GRP Records) ซึ่งก่อตั้งโดย เดฟ กรูสิน (Dave Grusin) และ ลาร์รี โรเซน (Larry Rosen) ตัวของกรูสินเองก็เป็นนักดนตรีที่ผลิตงานเพลงออกขายด้วย จีอาร์พีมักสร้างงานดนตรีที่มีสุ้มเสียงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เรียกว่า ได้ยินก็บอกได้ว่าเป็นเพลงของค่ายนี้ นักดนตรีของ จีอาร์พี นอกจากกรูสินแล้ว ก็มี ลาร์รี คาร์ลตัน (Larry Carlton) ลี ริทนาวร์ (Lee Ritenour) ทอม สก็อตต์ (Tom Scott) เดวิด เบนัวต์ (David Beniot) ส่วนวงดนตรีในสังกัดก็มี สไปโรไจรา (Spyrogyra) อคูสติก อัลเคมี (Acoustic Alchemy) สเปเชียล เอ็ฟเฟกต์ (SFX) เป็นต้น


นอกค่ายจีอาร์พี ยังมีนักดนตรีในสายเดียวกันนี้อีกหลายคน เช่น เอิร์ล คลูห์ (Earl Klugh) โจ แซมเปิล (Joe Sample) โบนี เจมส์ (Bony James) เดฟ คอซ (Dave Koz) เคนนี จี (Kenny G) หรือหน้าใหม่ๆ ในยุคหลังเช่น ไดอาน่า ครอลล์ (Diana Krall)


จนถึงตอนนี้ดนตรีแนวฟิวชันยุคหลังนี้ยังไม่สามารถแตกแขนงไปในทิศทางใหม่ๆ ได้ จนอาจกล่าวได้ว่า ฟิวชันมาถึงจุดอิ่มตัวและถึงทางตันแล้ว อย่างไรก็ตาม มีความพยายามหาสุ้มเสียงใหม่ๆ จากฟิวชันเหมือนกัน เช่น แอซิดแจ๊ส (Acid Jazz) หรือกรูฟแจ๊ส (Groove Jazz)ซึ่งเป็นผลการผสมระหว่างแจ๊ส โซล ฟังกี้ และฮิปฮอป เช่น เจมีรอไคว (Jemiroquai) อีกแนวที่ใกล้กับแอซิดแจ๊สคือ นูแจ๊ส (Nu Jazz) หรือ อิเล็กโทรแจ๊ส (Electro-Jazz) ซึ่งเกิดในปลายทศวรรษ 1990 โดยนำเนื้อหนังของแจ๊สมาผสมผสานด้วยดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องสังเคราะห์เสียง เช่น วงอิเล็กโทรนิกา (Electronica)


แจ๊สญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่บริโภคดนตรีแจ๊สมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก ในญี่ปุ่นมีคลับแจ๊สดังๆ เหมือนอเมริกา มีนักดนตรีแจ๊สหมุนเวียนมาเล่น หรือจัดคอนเสิร์ตตามหัวเมืองใหญ่ๆ อยู่อย่างต่อเนื่อง หลังๆ นักดนตรีแจ๊สฝั่งอเมริกาและยุโรปข้ามฝั่งมาหากินในญี่ปุ่นมากขึ้น เช่น บ็อบ เจมส์ (Bob James) ก็เคยทำงานดนตรีร่วมกับ เคโกะ มัตสุอิ (Keiko Masui) นักเปียโนชื่อดังของญี่ปุ่น .. ดนตรีแจ๊สญี่ปุ่นได้รับการถ่ายทอดมาจากอเมริกาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ทศวรรษ 1920 จนมาสะดุดเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองเพราะทางการสั่งห้ามดนตรีแจ๊ส (และดนตรีตะวันตก) .. แจ๊สในญี่ปุ่นกลับมาอีกครั้งก็เป็นยุคบ็อพซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก รวมถึงแขนงต่างๆ ของบ็อพด้วย


ดนตรีแจ๊สในญี่ปุ่นเวลานี้เป็นยุคของฟิวชัน อาจเพราะเหตุผลว่าติดหูได้ง่ายและสนุกสนาน .. อย่างไรก็ตาม สุ้มเสียงฟิวชันของญี่ปุ่นมีกลิ่นไอความเป็นเอเซียผสมอยู่ไม่น้อย รวมถึงสัมผัสของเจ-ร็อก (J-Rock) ก็มีปรากฏในดนตรีฟิวชันญี่ปุ่นเช่นกัน ขนาดที่ว่าใช้ 'สแตร็ต' กรีดแทน ตระกูล ES หรือ เลส พอล ก็เคยเห็นมาแล้ว ซึ่งไม่ผิดธรรมเนียมอะไร เพียงแต่มันบ่งบอกบุคลิกเพลงได้เหมือนกัน ด้วยเหตุดังกล่าวดนตรีแจ๊สญี่ปุ่นจึงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในทำนองเดียวกับ เจ-ป๊อป และ เจ-ร็อก ... วงดนตรีแจ๊สญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมสูงได้แก่ แคสิโอเปีย (Casiopea) ที-สแควร์ (T-Square) และ จิมซาคุ (Jimsaku) เป็นสามหัวหอกหลัก ระยะหลังทั้งสามวงออกทัวร์ต่างประเทศบ่อยครั้ง ร่วมงานกับนักดนตรีตะวันตกหลายคน


แจ๊สในไทย
ดนตรีแจ๊สในประเทศไทยอาจจะไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนักในกลุ่มวัยรุ่น (a.k.a. เด็กแนว) นักดนตรีจึงมีไม่มาก ยิ่งนักร้องแจ๊สแท้ๆ ในเมืองไทย แทบไม่เหลือเลย .. นักดนตรีแจ๊สในไทยผมไล่ได้เพียงสายฟิวชัน เริ่มต้นจาก อินฟินิตี้ เทวัญ ทรัพย์แสนยากร ภูษิต ไล้ทอง ที-โบน กลุ่มนี้หาเพลงฟังได้ยากแล้ว ส่วนที่สดใหม่ก็จะมี โก้-เศกพล อุ่นสำราญ ซึ่งเคยฝึกกับอินฟินิตี้ และเป็นสมาชิกรุ่นก่อตั้งวงบอยไทย ก่อนจะออกอัลบั้มของตัวเอง ที่ได้ยินอีกคนคือ ดร.กะทิ-สิราภรณ์ มันตาภรณ์ นักกีตาร์แจ๊สแนวละตินฝีมือดีที่มีความคิดอ่านแกร่งกร้าวมากๆ

ในอีกท่านหนึ่ง ไม่ใช่ว่าคนไทยไม่สนใจดนตรีแนวนี้ จริงๆ มีผู้ฟังคนไทยอยู่กลุ่มใหญ่ทีเดียวที่ชื่นชอบดนตรีแจ๊ส สังเกตได้จากงานคอนเสิร์ตแจ๊ส และขาประจำผับแจ๊สในกรุง และขาประจำห้องแจ๊สใน pantip.com โดยส่วนใหญ่มักนิยมฟิวชัน ละติน ฟังก์ ซึ่งฟังง่ายกว่า จะมีที่ฟังบ็อพหรือสแตนดาร์ดอยู่ประปราย

Jazz up my life
อย่างที่เคยบ่นใน blog ไปแล้วว่า ผมเริ่มต้นกับเทปผีพีค็อก (ได้รับอกุศลบุญทางดนตรีจากเทปค่ายนี้อย่างมาก รองลงมาคงเป็นแวมไพร์เรคอร์ด :P) และเริ่มต้นฟังฟิวชันกับอินฟินิตี้ราวๆ สิบกว่าปีก่อน (สมัยไนท์สปอตและ WEA) และค่อยๆ ขยายออกไปในแนวอื่น หาฟังจากอัลบั้มที่ดังๆ อย่าง Bitches Brew, Kind of Blues ของไมล์ส เดวิส Portrait in Jazz ของ บิลล์ อีแวนส์ Virtuoso ของ โจ แพส ฯลฯ อัลบั้มพวกนี้ผมฟังเป็นตัวอ้างอิงเป็นหลัก ไม่เกี่ยวกับชอบหรือไม่ชอบ ฟังอย่างตั้งใจหาเนื้อหนังกันเลย .. และเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ค่อยชอบฟังแจ๊สที่เนื้อหาอิ่มมากๆ อย่างอัลบั้มอ้างอิงพวกนี้ บางเพลง ฟังแล้วมึน เครียดจนปวดหัวไปเลยก็เคยเป็นมาแล้ว

เพลงที่ชอบฟังก็เลยกลายเป็นเพลงที่แจ๊สไม่จัดจ้านมาก ในแนวฟิวชัน ละติน adult contemporary และนิวเอจ ที่โปรดปรานเป็นพิเศษ ก็มี ที-สแควร์, ลี ริทนาวร์, บ็อบ เจมส์, ลาร์รี คาร์ลตัน, โฟร์เพลย์, แคสิโอเปีย, เอิร์ล คลูห์, จอร์จ วินสตัน ศิลปินไทยก็ไม่พ้น อินฟินิตี้ บอยไทย และ โก้ ส่วน ดร.กะทิ ไม่เคยฟังงานเต็มๆ แต่ได้ฟังแสดงสด ซึ่งชอบเพราะเป็นเพลงของ อันโตนิโอ คาร์ลอส โจบิม (Antonio Carlos Jobim) เป็นทุนอยู่แล้ว

แผ่นซีดี.. เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ซื้อเท่าไหร่ แต่ซื้อทีก็ทุ่มทุนสร้างถล่มทลายเหมือนกัน .. ถ้าจะให้ตระเวนหาก็คงมีที่ เจไดมิวสิค ร็อกซ์ตรงข้ามพันธุ์ทิพย์ วาเลนไทน์ทุกสาขา (เข้าไปดูห้องแจ๊สนะครับ ตรงหน้าร้านมันมีแต่แดนส์กระจาย) ทาวเวอร์เรคอร์ดสก็มี .. ที่ขอนแก่นมีร้านของอาเจ็กติดๆ ร้านเคี้ยง ถ.ศรีจันทร์ .. ร้านนี้ผมซื้อตั้งแต่เทปผีพีค็อกที่อาเจ็กขายอยู่แถวถนนหน้าเมืองก่อนจะย้ายมาร้านปัจจุบัน

ดีวีดีคอนเสิร์ตแจ๊สระยะหลังๆ มีเข้ามาเยอะขึ้น แผ่นถูกลิขสิทธิ์ของบริษัท United Home Entertainment ราคาไม่แพงกว่าของเถื่อนเท่าไหร่ บางร้านขายถูกกว่าของเถื่อนอีก หาซื้อได้ตามร้านซีดี ดีวีดี และห้างไอทีทั่วไป หรือไม่ก็สั่งออนไลน์กับเจไดมิวสิคได้ .. ส่วนแผ่นเถื่อน แม่สาย มาเลย์ คงรู้แหล่งกันอยู่แล้ว

หากจะเอาบรรยากาศตามผับ เวลานี้ได้ยินกล่าวถึงบ่อยครั้งมีสองแห่งคือที่ แซ็กโซโฟนผับ อนุสาวรีย์ชัยฯ และบราวน์ซูการ์ หลังสวน ทั้งสองร้านมีดนตรีผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนในหนึ่งสัปดาห์ ชอบสไตล์ไหนเป็นพิเศษควรเลือกวันด้วย .. :)

ประวัติเพลงชาติไทย

ประวัติเพลงชาติไทย

ปี พ.ศ. 2395 ในปลายรัชสมัย พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้มีนายทหารอังกฤษ 2 คนชื่อ ร้อยเอกอิมเปย์ (Impey) และ ร้อยเอกน๊อกซ์ (Thomas G. Knox) เข้ามาเป็นครูฝึกทหารเกณฑ์ ในวังหลวงและวังหน้า ได้ใช้เพลง 'God Save the Queen' ซึ่งเป็นเพลงประจำชาติของอังกฤษเป็นเพลงฝึกสำหรับทหารแตร

ซึ่งในการฝึกทหารของไทยสมัยนั้น ใช้ตามแบบอย่างของประเทศอังกฤษทั้งหมด ดังนั้นเพลง 'God Save the Queen' จึงถูกใช้เป็นเพลงเกียรติยศสำหรับกองทหารไทยใช้ถวายความเคารพต่อพระมหากษัตริย์ด้วย และเรียกกันว่า 'เพลงสรรเสริญพระบารมีอังกฤษ'

ต่อมา พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ได้ประพันธ์เนื้อร้องขึ้นมาใหม่ โดยใช้ทำนองของเพลง 'God Save the Queen' และตั้งชื่อเพลงขึ้นใหม่ว่า 'จอมราชจงเจริญ' และนี่นับเป็นเพลงชาติฉบับแรกของประเทศสยาม

แต่ในปี พ.ศ. 2414 เมื่อ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จประพาสเมืองสิงคโปร์ ในขณะนั้นสิงคโปร์ยังเป็นเมืองขึ้นของประเทศอังกฤษอยู่ กองทหารดุริยางค์ สิงคโปร์ก็ได้บรรเลงเพลง 'God Save the Queen' เพื่อถวายความเคารพเช่นกัน พระองค์จึงทรงตระหนักว่าประเทศสยาม จำเป็นจะต้องมีเพลงชาติที่เป็นของตัวเองขึ้น เพื่อแสดงถึงความเป็นเอกราชของชาติ

ครั้นเมื่อทรงเสด็จกลับถึงพระนคร จึงได้โปรดให้ตั้งคณะครูดนตรีไทยขึ้น เพื่อทรงปรึกษาหาเพลงชาติที่มีความเป็นไทยมาใช้แทนเพลง 'จอมราชจงเจริญ' และคณะครูดนตรีไทย ได้เลือก 'เพลงทรงพระสุบัน' หรือ 'เพลงบุหลันลอยเลื่อน' ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 โดยนำมาเรียบเรียงใหม่ ให้มีความเป็น สากลขึ้นโดย เฮวุดเซน (Heutsen) ซึ่งก็นับเป็นเพลงชาติไทยฉบับที่สอง และใช้บรรเลงในระหว่างปี พ.ศ. 2414-2431

สำหรับ เพลงชาติไทยฉบับที่สาม คือ 'เพลงสรรเสริญพระบารมี' อย่างที่ยังได้ยินในปัจจุบันนั่นเอง ซึ่งเพลงนี้ประพันธ์โดย ปโยตร์ สชูโรฟสกี้ (Pyotr Schurovsky) นักประพันธ์ชาวรัสเซีย คำร้องเป็นพระนิพนธ์ของ สมเด็จฯ กรมพระนริศรานุวัตติวงศ์ ใช้บรรเลงเป็นเพลงชาติ ในระหว่างปี พ.ศ.2431-2475

เพลงชาติไทยฉบับที่สี่ คือ 'เพลงชาติมหาชัย' ใช้เป็นเพลงชาติ ในระหว่างการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี พ.ศ. 2475 โดยอาศัยทำนอง เพลงมหาชัย ส่วนคำร้องนั้นประพันธ์โดย เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เพื่อใช้ขับร้อง และบรรเลงปลุกเร้าใจประชาชน ก่อให้เกิดความรักชาติและสร้างความสามัคคี ในระหว่าง ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

เพลงชาติไทยฉบับที่ห้า คือ เพลงชาติฉบับ พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร หรือชื่อเดิม ปีเตอร์ ไฟท์ (Peter Feit) เป็นชาวต่างชาติ) ผู้ประพันธ์ทำนอง ซึ่งเป็นทำนองของเพลงชาติไทยในปัจจุบันนี่เอง ซึ่งประพันธ์ขึ้นเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2475 และประพันธ์เนื้อร้องโดย ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) บรรเลงครั้งแรก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคมเมื่อ วันที่ 7 กรกฎาคม 2475 ใช้ในระหว่าง ปี 2475-2477

กำเนิดของเพลงชาติฉบับที่ 6 นั้นมาจากในปี พ.ศ. 2477 รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาเพลงชาติขึ้น ซึ่งมีหน้าที่พิจารณาเกี่ยวกับเพลงชาติโดยเฉพาะ คณะกรรมการได้กำหนดให้มีเพลงชาติแบบไทยและแบบสากล อย่างละเพลงคือ แบบไทยได้แก่เพลงชาติของ จางวางทั่ว พาทยโกศล ที่แต่งขึ้นจากเพลงไทยเดิมชิ่อว่า 'ตระนิมิตร' ส่วนทางสากลได้แก่ เพลงชาติเดิมของพระเจนดุริยางค์ที่แต่งไว้แล้ว แต่ในเวลาต่อมาคณะกรรมการชุดนี้ ได้พิจารณาว่าเพลงชาตินั้นควรจะมีลักษณะที่บ่งบอกถึงความศักดิ์สิทธิ์ ถ้ามีสองเพลงอาจทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ลดลง จึงตกลงว่าให้มีเพลงเดียวคือ แบบทำนองสากลของพระเจนดุริยางค์ แต่ได้จัดให้มีการประกวดเนื้อร้องขึ้นใหม่ และคณะกรรมการได้สรุปผลให้บทร้องของ ขุนวิจิตรมาตรา ผู้แต่งเดิมซึ่งดัดแปลงจากเนื้อร้องเดิมของตนเล็กน้อยได้รับรางวัลชนะเลิศ (ซึ่งเป็นเพลงชาติไทยฉบับที่เพื่อนๆ กำลังฟังอยู่ในบล็อคนี้นี่แหล่ะครับ)

และเพลงชาติไทยฉบับที่ 7 ในปี พ.ศ. 2482 มีการเปลี่ยนชื่อประเทศจากคำว่า 'สยาม' มาเป็น 'ไทย' ทำให้จำต้องแก้ไขเนื้อร้องในเพลงชาติด้วย รัฐบาลจึงได้จัดประกวดเนื้อร้องเพลงชาติไทยขึ้นใหม่ โดยใช้ทำนองเพลงชาติไทย ของพระเจนดุริยางค์ตามแบบเดิมซึ่งผู้ชนะการประกวดได้แก่ นายพันเอกหลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) และได้กลายมาเป็นเพลงชาติฉบับที่ 7

ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศใช้เพลงชาติไทยฉบับที่ 7 นี้ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2482 และเป็นฉบับที่ถูกใช้มาจนปัจจุบันนี้ครับ

ชาติไทย

แผ่นดินสยามนามประเทืองว่าเมืองทอง
ไทยเข้าครองตั้งประเทศเขตแดนสง่า
สืบเผ่าไทยดึกดำบรรพ์โบราณลงมา
รวมรักษาสามัคคีทวีไทย

บางสมัยศัตรูจู่โจมตี
ไทยพลีชีพร่วมรวมรุกไล่
เข้าลุยเลือดหมายมุ่งผดุงผะไท
สยามสมัยบุราณรอดตลอดมา

อันดินสยามคือว่าเนื้อของเชื้อไทย
น้ำรินไหลคือว่าเลือดของเชื้อข้า
เอกราชคือเจดีย์ที่เราบูชา
เราจะสามัคคีร่วมมีใจ

รักษาชาติประเทศเอกราชจงดี
ใครย่ำยีเราจะไม่ละให้
เอาเลือดล้างให้สิ้นแผ่นดินของไทย
สถาปนาสยามให้เทิดไทยไชโย

สิ่งศํกดิ์

ต่อไปจะมีเทวดาองค์ใดจะปัดเป่าอุทกภัย วายุภัย ให้เล่า
ช่วยไปจะได้ประโยชน์ใดเล่า
เมื่อคนไทยไม่ทำตัวให้น่าช่วย
ต่อไปก็รับกรรมไปก็แล้วกัน
เมื่อเราช่วยพวกเจ้าก็มาทำลายกันเอง
ลืมแผ่นดินเกิด แผ่นดินทำกิน แผ่นดินตาย

เมือ่ไหร่

เมื่อไหร่ จะหยุดทำลายตัวเอง จนกลายเป็นปัญหาไทย

13 เมษายน 2553

สวัสดีปีใหม่ไทยครับอาจารย์

สวัสดีปีใหม่ครับอาจารย์
สงกรานต์ก็ไม่ได้กลับบ้านครับ
ต้องมาอย่ในกรมในกอง
แต่ต้องเข้าใจเมื่อมีเหตุ
ให้อยู่

10 เมษายน 2553

ล้างมือเวลาไหน

จะล้างมือเมื่อไร

หลังการจามหรือไอ หรือไปสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วย
ก่อนและหลังอาหาร
ก่อนและหลังการเข้าห้องน้ำ
ก่อนและหลังการสูบบุหรี่
ก่อนและหลังการเตรียมอาหาร
ก่อนและหลังการทำงาน
เมื่อกลับจากทำงาน

self-esteem

คำนี้ยังไม่มีคำแปลสำหรับภาษาไทย หรืออาจจะมีแต่ผู้เขียนไม่ทราบ นักการศึกษา ผู้ปกครอง นักธุรกิจ ตลอดจนรัฐบาลกำลังมุ่งสร้างประชาชนให้มี self-esteemสูง ซึ่งหมายถึง บุคคลที่มีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง มีความซื่อสัตย์ มีความภูมิใจในผลสำเร็จของงาน บุคคลซึ่งมีความคิดริเริ่มและมีความมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาและรับผิดชอบปัญหาที่จะเกิดตามมา เป็นคนที่คนอื่นรักและรักคนอื่น เป็นบุคคลที่สามารถควบคุมตัวเองเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของงานโดยสรุปแล้วคนที่มี self-esteem สูงจะหมายถึงคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ มีความรับผิดชอบสูงและซื่อสัตย์

ตรงกันข้ามกับคนที่มี self-esteem ต่ำหรือพฤติกรรมป้องกัน (defensive)คนกลุ่มนี้มักจะต้องการพิสูจญ์ตัวเองหรือวิจารณ์คนอื่น ใช้คนอื่นเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง บางคนอาจจะหยิ่งหรือดูถูกผู้อื่น มักจะไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะมีคุณค่าหรือความสามารถหรือการยอมรับ ทำให้คนกลุ่มนี้ไม่กล้าที่จะทำอะไรเนื่องจากกลัวความล้มเหลว คนกลุ่มนี้มักจะวิจารณ์คนอื่นมมากกว่าที่จะกระทำด้วยตัวเอง และยังพบอีกว่าคนกลุ่มนี้มักจะชอบความรุนแรง ติดสุรา ยาเสพติด มีเพศสัมพันธุ์ก่อนวัย

คนที่มี self-esteem จะต้องมีความสมดุลของความต้องการผลสำเร็จหรืออำนาจ และความรู้จักคุณค่า ความมีเกียรติและความซื่อสัตย์ ซึ่งอาจจะหมายถึงจิตใต้สำนึกและพฤติกรรมนั่นเอง จิตใต้สำนึกของคนที่มี self-esteem จะต้องรู้จักบาป บุญคุณโทษ รู้สิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี ความสื่อสัตย์ ความมีเกียรติ ส่วนพฤติกรรมของ self-esteem มีความสามารถที่จะคิดแก้ปัญหา เชื่อมั่นในความคิดและความสามารถของตัวเอง สามารถเลือกวิธีการตัดสินใจที่ถูกต้อง หากสูญเสียความสมดุลก็จะทำให้เกิดปัญหา เช่นหากจิตใต้สำนึกไม่แข็งแรงหรือสมบูรณ์พอก็จะทำให้คนเกิดพฤติกรรมเชื่อมั่นตัวเองมากเกินไป หยิ่งยโส ดูถูกคนอื่น หากแต่มีแต่จิตใต้สำนึกที่ดีแต่ไม่มีความมุ่งมั่นที่จะประสบผลสำเร็จชีวิตก็อาจจะไม่ถึงเป้าหมาย ดังนั้นบุคคลที่ชอบพูดถึงแต่ตัวเอง อวดดี ดูถูกคนอื่น คนพาล ชอบเอาเปรียบคนอื่นคนที่กล่าวโทษคนอื่นไม่ถือว่ามี self-esteem

คนที่มี self-esteem มักจะประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้

มองโลกในแง่ดีเสมอ มองวิกฤตให้เป็นโอกาส เมื่อมีมืดต้องมีสว่าง มีร้ายต้องมีดี ขาวคู่กับดำ
ประเมินตัวเราให้มีคุณค่าอยู่เสมอ
เชื่อมั่นในความสามารถตัวเอง
มองว่าตัวเราเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและเราสามารถเปลี่ยนแปลงตามที่เราต้องการ
ผู้ที่ไม่รู้คุณค่าตัวเองไม่มีความมั่นใจจะไม่มีความหวัง ไม่มีพลังในการต่อสู้ในที่สุดจะเป็นคนที่ซึมเศร้า

การสร้างความมั่นใจในตัวเอง self-esteem

ความเชื่อมั่นตนเองและรู้คุณค่าตัวเองเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินชีวิต ลำพังความคิดอย่างเดียวไม่สามารถสร้างความมั่นใจในตัวเองได้ ความมั่นใจจะเริ่มสร้างตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเราตาย ความมั่นใจจะกระทบต่อการตัดสินใจดังนั้นทุกคนความสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ตัวอย่างของความมั่นใจเช่นหากคนจะเปลี่ยนอาชีพเขาจะต้องมั่นใจในตัวเองหรือมีคนอื่นเห็นถึงความสามารถของเขาที่จะทำให้ให้สำเร็จ เมื่อมีความผิดหวังหรือความเครียดความมั่นใจหรือเชื่อมั่นในตัวเองจะช่วยให้แก้ไขสถานการณ์ให้ผ่านไปด้วยดี

ครอบครัวซึ่งมีความมั่นใจหรือเชื่อมั่นในตัวเองสูงความมั่นใจของลูกก็จะสูง
การพัฒนาความมั่นใจของเด็กจะเกิดขึ้นได้เมื่อเด็กได้เล่นกับเพื่อน
ผู้ที่มีความมั่นใจสูงมักจะไม่ทำร้ายตัวเอง ไม่ดื่มสุราหรือติดยาเสพติด
เด็กหญิงวัยรุ่นที่มีความมั่นใจสูงมักจะไม่ประพฤติผิดประเพณี
ความมั่นใจเป็นลักษณะของแต่ละคนไม่สามารถที่จะให้กันได้แต่สามารถฝึกฝนได้
ในสังคมปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงเร็ว ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ คนที่มีความมั่นใจและมีความสามารถในการตัดสินใจ ความคิดริเริ่มใหม่ๆการปฏิบัติงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการสื่อสารกับผู้อื่นเพื่อให้เข้าใจเหมือนกัน คนเช่นนี้จึงจะอยู่รอดในสังคม

เรามาเสริมสร้าง self-esteem เพื่อที่จะเป็นคนที่มีประสิทธิภาพสูง Peak Performance

หาเวลาสักหนึ่งชั่วโมงในตอนเช้าเพื่อพัฒนาตัวเอง อาจจะเป็นการนั่งสมาธิ หรือการพิจารณาตัวเอง หรือ่านหนังสือที่สร้างความเชื่อมั่น หรือฟังเทปคำสอนต่างๆ การเริ่มต้นที่ดีจะทำให้เกิดความมั่นในและประสบผลสำเร็จ

มองปัญหาและมองโลกในแง่ดี เลิกบ่นสิ่งที่ไม่ดีเกี่ยวกับตัวเอง ลองหากระดาษสักแผ่นจดความคิดที่ดีๆเกี่ยวกับตัวเองไว้ด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งจดสิ่งที่ไม่ดีแล้วมาวิเคราะห์ ว่ามีสิ่งไม่ดีหรือสิ่งที่ดีมากว่ากัน หานามบัตรจดสิ่งที่ดีหรือคำขวัญที่ดีไว้กระตุ้นเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลา

ทำบ้านให้ปราศจากความวุ่นวาย ฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือคุยกับเพื่อนที่สนิท

หาวันละ 10 นาทีเพื่อพิจารณาจุดยืนของตัวเอง สิ่งที่สำคัญของชีวิตคืออะไร เราบรรลุหรือยัง เราเดินผิดแนวทางหรือไม่

คนกับคนที่มองโลกในแง่ดีหรือคนที่มี self-esteem เพราะเพื่อนจะกระตุ้นให้เรามีความมั่นใจและความมุ่งมั่นเพิ่มขึ้น ตรงกันข้ามหากคบคนที่มองโลกในแง่ร้ายจะทำให้เรามองโลกในแง่ร้าย ความมั่นใจก็จะสูญเสียไปด้วยดังนั้นเลิกคบกับคนที่มองโลกแง่ร้าย

ให้เลิกเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น เพราะเราต้องยอมรับว่าคนเราไม่สมบูรณ์ 100%ทุกคน หากเราเปรียบเทียบกับคนอื่นจะทำให้เกิดปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้อย่างมากมาย

ให้หาคนที่จะเป็นต้นแบบเพื่อเป็นแนวทางการดำเนินชีวิต

ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้และมุ่งสู่ความสำเร็จนั้น

หาผู้ที่คอยช่วยเหลือด้านทักษะและทัศนะคติในการดำรงชีวิตหรือการงาน

หากมีคนชมหรือกล่าวโทษให้กล่าวคำว่าขอบคุณ

อย่าดูถูกตัวเองหรืออย่ามองว่าตัวเองไม่มีความสามารถ หากเราคอยตอกย้ำถึงจุดด้อยของเรา เราจะไม่มีทางประสบผลสำเร็จ

ให้เพิ่มทักษะหรือคุณภาพชีวิตจากการทำงาน การอ่านหนังสือ หรือจากสื่ออื่นๆ

ให้จดสิ่งที่ดีเกี่ยวกับตัวคุณ เช่นความซื่อสัตย์ ความคิดริเริ่ม ความมุ่งมั่น ความเอื้ออาธร เป็นต้น ให้อ่านสิ่งเหล่านี้บ่อยๆ

จดผลงานที่คุณชื่นชมหรือประสบผลสำเร็จสัก 10 อย่าง เช่นการศึกษา ผลการศึกษา การได้รับรางวัล การช่วยเหลือผู้อื่น

จดคำขวัญไว้ในที่เห็นชัดและนำมาท่องเมื่อมีโอกาส เช่น ผมยอมรับความสามารถตัวเอง ผมเป็นคนลิขิตชะตาชีวิตของผมเอง หนูภูมิใจและเชื่อมั่นในตัวเอง

การสร้างบุคลิก

การสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับผู้ทำงานทุกท่าน เพราะกล่าวได้ว่า เป็นส่วนหนึ่งที่ส่งอิทธิพลให้คนผู้นั้น มีบุคลิกที่โดดเด่น และ แตกต่างจากคนอื่นๆ ในกลุ่ม

ดังที่เราจะเคยเห็นว่า ทำไมคนบางคน ถึงดูมีความมั่นใจ และ ดูดี ทำให้ ทำอะไรๆ ก็ดูดี แต่เราพูดเฉพาะคนที่มีความเชื่อมั่น และ ความมั่นใจในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะ ยังมีหลายๆคนที่ดูเหมือนจะมีความมั่นใจมากเกินไป จนกลายเป็นโอ้อวด ในสายตาผู้อื่น แทนที่จะดูดี น่าเกรงขาม กลายเป็นดูแย่ และ ตลก ไปเสียได้

ดังนั้น การสร้างความเชื่อมั่น และ สร้างบุคลิกที่ดีแก่ตนเองนั่น เราเองเป็นผู้ที่สามารถฝึกและดูแลตนเองได้ดีมากกว่า สถาบันฝึกสอบบุคลิกภาพไหนๆเสียอีก เพราะว่า สถาบันหลายๆที่ มักจะสอนในแบบของหุ่นยนต์ หรือ ดูเกินจริงไปนิด ทำให้หลายๆคน ไม่กลายเป็นแข็ง ก็กลายเป็นระวังตัวมากจนเกินไป

การสร้างความเชื่อมั่น และ บุคลิกที่ดีแก่ตนเอง พื้นฐานเราเองต้องมีความรักในตนเองเป็นพื้นฐานเสียก่อน รู้จักตนเองดี เพราะว่า จิตแพทย์ ชื่อดัง อย่าง อาจารย์ วิทยา นาควัชระ ได้กล่าวไว้ว่า นอกจากสาเหตุด้านกรรมพันธุ์แล้ว (พ่อ แม่ ไม่มั่นใจในตนเอง ไม่เชื่อมั่น ก็ย่อมถ่ายทอดให้แก่ลูกได้) ยังมีสาเหตุอื่นๆ อีก หลายประการเช่น
การขาดความภูมิใจในความเป็นมนุษย์ ตั่งแต่เด็กๆ อาจจะมาจากการอบรมเลี้ยงดูที่ไม่ถูกต้องเช่น พ่อแม่ติชมลูกไม่ถูกกาลเทศะ ชมมากไปก็ไม่ดี เด็กไม่ภูมิใจ ตำหนิมากไปก็ลืมมองความดีของลูก พยายามหาแต่ข้อไม่ดีมาตำหนิ เกิดการหมดกำลังใจหมดความภูมิใจ เมื่อเติบโตก็จะทำให้กลายเป็นคนขาดความเชื่อมั่น ความรักในตนเอง

ประการที่สอง การคิดดูถูกตนเองว่าเป็นคนไม่ดี ไม่เก่ง ซึ่งมาจากนิสัยที่ชอบโทษตัวเอง ประจานตัวเอง และ ลงโทษตัวเองตลอดเวลา เมื่อมีเหตุการณ์ผิดพลาด หรือ ไม่ดีเกิดขึ้นในชีวิต

ประการที่สาม มีลักษณะของการถูกข่มขู่มาตั่งแต่เด็กๆ ทำให้ไม่มีโอกาสได้แสดงออก หวาดกลัว การโดนว่า รังแก ทั้งทางตรง และ ทางอ้อม ย่อมส่งผลให้ผู้นั้น มีอาการไม่มั่นใจ และ ไม่เชื่อมั่นในตนเองได้

ประการที่สี่ คือ มีนิสัยชอบเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น คิดว่า คนอื่น เก่งกว่า สวยกว่า หล่อกว่า หรือ ดีกว่า มักจะมองหาปมด้อยแก่ตนเอง เพื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นๆอยู่เสมอ นานๆเข้ากลายเป็นคนชอบนินทาว่าร้ายคนอื่น และ ขี้อิจฉา

ประการที่ ห้า คือ การที่มีข้อ หรือ ปมด้อย ที่ตนเองคิดว่า คนอื่นจะรู้หรือสังเกตเห็นได้ ทำให้ไม่สบายใจ หรือไม่มั่นใจ เช่น คิดว่า ตัวเองผิวคล้ำดำ ไม่สวย คนอื่นจะต้องเห็นว่าตัวเองตัวดำ ดูตลก ทั้งๆที่คนอื่นไม่คิด ตัวเองก็จะคิดไปก่อน ทำให้หมดความมั่นใจในตนเองได้

สำหรับ การสร้างความเชื่อมั่น และ สร้างความมั่นใจให้แก่ตนเอง คุณไม่จำเป็นต้องไปฝึกอบรมา พัฒนาบุคลิกภาพ มากกว่า การพัฒนาจิตใจภายในของตัวคุณเสียก่อน หรือ เรียกกันว่า จิตใต้สำนำให้ได้เสียก่อน หลังจากนั้น เมื่อคุณเรียนรู้ที่จะรักตนเอง และ รู้สึกดีกับตนเองแล้ว การที่คุณไปเข้าการฝึกอบรมต่างๆที่เกี่ยวกับบุคลิกภาพย่อมส่งผลประโยชน์สูงสุดให้คุณพัฒนาได้อย่างเป็นตัวคุณเอง มากกว่า เป็นรูปแบบของมนุษย์หุ่นยนต์หรือ แสแสร้ง

เรามาดูหลักง่ายๆกับการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ตนเองดังนี้

รู้จักตนเอง

คนเรานี้แปลก บางคนรักที่จะเรียนรู้คนอื่น อยากรู้อยากเห็นคนอื่นว่าเป็นยังไง บ้างคน ชื่นชอบดาราบางคนมากขนาดที่รู้จักดาราคนนั้นได้ดี ละเอียดยิบ ชนิดที่ว่า ดาราผู้นั้น ยังไม่รู้จักตนเองได้ดีเท่า ถ้าเราใช้นิสัยนั้นมาเรียนรู้ตนเองแทนที่จะไปสนใจคนอื่น รับรองได้ว่า เราจะรู้ว่า เรานั้น เป็นอย่างไร มีจุดดีจุดด้อยอย่างไรบ้าง เพื่อพยายามหาทางแก้ไขข้อบกพร่อง และ ส่งเสริมจุดเด่นของเรา
การรู้จักตนเอง ไม่เพียงรู้จักแต่นิสัยที่แท้จริงของเรา แต่เราต้องรู้ให้ลึกขนาดที่ว่า อะไรที่ทำให้เรารู้สึกดี อะไรที่ทำให้เรารู้สึกแย่ และ อวัยวะส่วนไหนของเราที่ดูดี และ อวัยวะส่วนไหนที่เราไม่ค่อยมั่นใจ เพราะอะไร
ถ้าเราเรียนรู้ตนเอง และ เข้าใจตนเองอย่างแท้จริง ราจะรัก และ พยายามเป็นตัวของตนเอง ในรูปแบบที่เราชื่นชอบอย่างแท้จริง

ความกล้าหาญ
รู้จักกล้าที่จะรับผิดชอบในสิ่งต่างๆที่ทำ กล้าที่จะทำอะไรด้วยตัวเอง และ กล้าที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ รวมถึง ความกล้าในสิ่งที่ถูกต้อง เช่น กล้าพูด กล้าทำ และ กล้าคิด เผอิญอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต กล้ารับผิดชอบหน้าที่การงาน และ ทำให้ดีที่สุด ถ้าฝึกได้ดังนี้ เราเองจะภูมิใจในตนเอง ที่ละนิด และ ในที่สุด เราจะเคารพตัวเราเอง และ เรียนรู้ที่จะเชื่อมั่นในตนเอง

เพิ่มพูนทักษะที่จำเป็น
อันนี้เป็นผลพ่วงจากการรู้จักตนเอง ว่า อะไรที่เป็นจุดด้อยของเรา และ เราต้องเรียนรู้สิ่งใดเพิ่มเติม เพื่อแก้ไข และ สร้างความมั่นใจให้แก่ตนเอง ก็จะทำให้เราเรียนรู้ที่จะแก้ไข และ สุดท้าย เราก็จะมั่นใจในตนเอง และ ยังทำให้เราภูมิใจในตนเองมากยิ่งขึ้น ดังนั้น เราจำเป็นต้องศึกษา หาความรู้ ฝึกฝน ให้รู้ และเชี่ยวชาญ เพราะการยิ่งเรียนรู้มากก็ยิ่งมีความรู้มาก เมื่อมีความรู้มากก็มีคนให้คำแนะนำปรึกษามากขึ้น มีคนนิยม เชื่อถือมากขึ้น

นิยมความสำเร็จ
ความเชื่อมั่นก็เหมือนกับไฟชีวิตที่ทำให้เรามีพลังในการทำสิ่งต่างๆ กระตือรือร้น และ มีทัศนคติที่ดีในการทำสิ่งต่างๆ อย่างไรก็ตาม ไฟก็อาจจะมอดได้เป็นบางครั้ง ดังนั้น การเพิ่มเชื้อไฟให้แก่ตนเองเป็นระยะจะทำให้เรามีพลังในชีวิตได้ตลอดเวลา การเป็นคนนิยมความสำเร็จ จะทำให้เราตั้งใจทำสิ่งต่างๆด้วยความตั้งใจ และ อยากทำให้ดีที่สุดนั่นเอง

เชื้อไฟที่ดีที่สุดในการทำให้ไฟในชีวิตลุกโชนมากขึ้น ก็คือ การประสบความสำเร็จในการทำสิ่งต่างๆ แม้นกระทั่งคำชมเชยจากหัวหน้า เพื่อน หรือ คนในครอบครัว ก็สามารถทำให้เรามีความสุข และ มีพลังในการทำสิ่งต่างๆได้ดียิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม การติดในคำชื่นชม ก็ไม่เป็นการดีต่อตนเอง ดังนั้น เราควรเป็นคนที่รู้จักเลือกในการได้รับคำชมจากคนที่ดีพอ หรือ คนที่ดีอย่างแท้จริง มากกว่า จะต้องการให้ทุกคนชื่นชม เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น แทนที่เราจะเป็นคนที่เชื่อมั่นในตนเอง จะกลายเป็นว่า ไม่มีความมั่นใจในตนเองมากกว่า

ดังนั้น จงฉลาดเลือกการได้รับคำชมจากคนที่มีคุณค่า และ ดีพอเท่านั้น เพราะ ความจริงแล้ว ถ้าเราทำอะไรสำเร็จ แม้นจะเป็นเรื่องเล็กๆ เช่น การแก้นิสัยเกียจคร้านของตนเองได้ เราเองก็จะภูมิใจในตนเองได้โดยไม่ต้องให้คนอื่นชื่นชมก็ได้ และ เราก็สามารถมีกำลังใจ ทำการใหญ่ๆ ให้สำเร็จได้ง่ายมากขึ้น
เป็นคนชอบการแก้ไขมากกว่าบ่น หรือ ท้อแท้
เรียนรู้ความจริงว่า ชีวิตย่อมมีอุปสรรค ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่สิ่งที่จะทำให้สิ่งต่างๆแตกต่างกันออกไป ก็คือ ใครเรียนรู้ที่จะแก้ไขมากกว่าท้อแท้ รวมทั้งปัญหาบางอย่างก็เป็นเรื่องเล็กน้อย ก็ไม่ควรนำมาทำให้เป็นปัญหาใหญ่ของตนเอง เช่น เราอาจจะเป็นคนตัวเล็ก ผิวคล้ำ เราก็ไม่ควรนำมาเป็นปมด้อย หรือ ลดความเชื่อมั่นในตนเอง เพราะ ถ้าเราทำหน้าที่ต่างๆ รวมทั้ง ขยัน พูดจาดี สิ่งต่างๆเหล่านั้น ก็ไม่เป็นอุปสรรคทำให้ใครๆ มองเห็นว่าเป็นปมด้อย หรือ ทำให้เราไร้ค่าในสายตาใคร

หรือ ถ้าเราเป็นคนขี้อาย หรือ พูดไม่เก่ง เราก็ควรเรียนรู้ หรือ หัดพูดบ่อยๆ หรือ หาแพทย์ช่วยแก้ไข สิ่งต่างๆ ไม่มีอะไรที่แก้ไขไม่ได้ เพียงแต่ว่า เราจะยอมแก้ไข หรือ บ่น แล้วปล่อยให้ดำเนินต่อไป ดังนั้น เมื่อเจอปัญหาใดๆ เรียนรู้ให้กำลังใจตนเอง และ มองหาทางแก้ไข และ ทำใจยอมรับ สำหรับปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ เช่น เรื่อง สูง เตี้ย หรือ เรียนรู้การแต่งกายให้เหมาะกับเรา ก็สามารถทำให้เรามั่นใจได้ และ การเป็นคนเรียนรู้การแก้ไข ยังทำให้เราเป็นคนมีเหตุผล และ มีความภูมิใจในตนเองด้วย ถ้าเราทำได้สำเร็จ

เห็นคุณค่าของตนเอง และ สิ่งที่ตนเองมี
มีคนมากมาย ที่ชอบมองหาสิ่งที่อยู่ห่างตนออกไป โดยลืมมองหาสิ่งที่มีค่าของตนเอง ซึ่งบางทีคนอื่นอาจจะเห็นว่าเรามีดี มีอะไรที่มีคุณค่าในตนเอง แต่ตัวเราเองกลับมองไม่เห็นคุณค่าในสิ่งนั้น

ยกตัวอย่างง่ายๆ เรามักจะเห็นว่า ฝรั่ง มักนิยม การมีผิวสีแทน ขณะที่คนมีผิวสีแทน นิยมมีผิวสีขาว เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตนเองมี ย่อมเป็นสิ่งดี แต่การเห็นคุณค่าผู้ที่ดีกับเรา ย่อมเป็นการสร้างนิสัยที่ดี หลายๆคนมักมองเห็นคนไกลตัวดีกว่า สิ่งที่ตนเองมี เช่น เราอาจจะมีแฟนที่ดีอยู่แล้ว แต่กลับมองว่า น่าเบื่อ ทำให้เราหันไปมองคนอื่น กลายเป็นปัญหานอกใจ สุดท้ายทำให้เราทำผิดพลาด หรือ เสียสิ่งที่ดีๆไปได้ การที่เราเห็นคุณค่าในสิ่งที่เรามี จะทำให้เราภูมิใจ และ คิดหาทางทำดีที่สุดในสิ่งที่เรามี หรือ ใส่ใจกับสิ่งที่เรามีมากขึ้น

สร้างบุคลิกที่ดีให้แก่ตนเอง
บุคคลที่ฉลาดย่อมคิดเสมอว่า ตนเองนั้นยังบกพร่องอยู่ และขยันเรียนรู้ รวมทั้ง ขยันปรับปรุงตนเองอยู่ตลอดเวลา บุคลิกภาพเป็นกุญแจสำคัญที่จะใช้ในการติดต่อกับผู้อื่น เป็นองค์ประกอบสำรหับความสำเร็จในชีวิต การแต่งกายที่สะอาด การเคลื่อนไหวในอิริยาบถที่น่าดูจะสร้างความประทับใจให้แก่ผู้เห็น และ ทำให้เราดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น

คิดในทางบวก
สิ่งที่คนอื่นพูดอาจจะเป็นข้อมูลหรือเป็นประโยชน์กับเราได้ ถ้าเรามองในด้านดี การเป็นคนคิดในทางบวก เป็นการป้องกันอันตรายทางความคิดที่จะเกิดกับตัวเราในอนาคต เพราะในสังคมปัจจุบัน เป็นไปได้ว่า เราเองต้องเจอกับเหตุการณ์ คน หรือ สิ่งที่ไม่คาดคิดมากมาย ถ้าเรามองโลกในแง่ร้าย ทุกอย่างรอบตัวก็ดูจะแย่ และ อาจจะหมดกำลังใจได้โดยง่าย ทำสิ่งใดๆ ก็จะไม่อยากทำ แต่ถ้ามองโลกในแง่ดี คิดทางบวก เราจะพยายามหาทางออกในทุกทางหรือ ทุกปัญหาที่เราเจอ

ฝึกจิตใจให้สงบ และ อารมณ์เย็น
เรียนรู้ที่จะเป็นคนที่สงบเมื่อถึงคราวต้องสงบ และ กระตือรือร้นเมื่อต้องกระตือรือร้น การฝึกสมาธิ หรือ การสร้างพลังใจให้แก่ตนเอง โดยการสร้างความมั่นคงทางอารมณ์ภายใน ย่อมส่งผลให้เรามีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น
รู้จักวางตัว
รู้จักการวางตัวในแต่ละสถานการณ์ แต่ละบุคคล ได้อย่างดีและเหมาะสม จะยิ่งทำให้เราเป็นผู้มีเสน่ห์ และ มีมารยาท เรื่องนี้ สามารถฝึกกันได้ ซึ่งถ้าต้องเข้าสังคมระดับสูง มารยาทการทานอาหาร อาจต้องเป็นพิธีการมากยิ่งขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ เราอาจจำเป็นต้องอาศัยการฝึกอบรมเพิ่มเติม
แต่ถ้าเป็นทั่วไปๆ เราก็สามารถใช้หลัก ใจเขาใจเรา คือ การคิดก่อนถาม และ ฝึกเป็นคนเข้าหา มีมารยาท รู้จักการให้ความเคารพแก่ผู้อาวุโส และ เป็นนักฟังที่ดี รับรองได้ว่า เราก็จะจัดได้ว่า เป็นคนที่วางตัวเป็นคนหนึ่งทีเดียว
สำหรับ ทั้งหมด เป็นเรื่องที่เราฝึกได้ และ ควรฝึกให้คล่องในระดับที่ดี ก่อนที่เราคิดไปฝึกการพัฒนาบุคลิกภาพเพิ่มเติมจากสถาบันต่างๆ เพราะจะยิ่งทำให้เราค้นพบความเป็นเอกลักษณ์ของเราเองได้อย่างถูกต้อง
Copyright 2006: บทความ ข้อความ ข้อมูล รวมความถึง เนื้อหารายละเอียด ถือเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของ MissConsult.com การเก็บข้อมูล อาจทำได้โดยวัตถุประสงค์เพื่อส่วนบุคคล โดยไม่เกี่ยวข้องกับทางการค้า สื่อ หรือ ตีพิมพ์ซ้ำ คัดลอกส่วนหนึ่งส่วนใด เพื่อประโยชน์ในเชิงธุรกิจ การ ทำซ้ำ เผยแพร่ ตีพิมพ์ หรือ จำหน่าย โดยไม่ได้รับอนุญาติจากบริษัท บริษัทจะดำเนินการ ตามกฎหมาย กับผู้ละเมิดสิทธิดังกล่าวโดยทันที

ไม่มีเวลา

ไม่มีเวลาเลยช่วงนี

03 เมษายน 2553

สสส.?

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นหน่วยงานของรัฐที่มิใช่ส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ.2544 อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี มีรายได้จากภาษีสรรพสามิตยาสูบและสุราในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี ทำหน้าที่ จุดประกาย กระตุ้น สนับสนุน ประสานความร่วมมือเพื่อ ให้คนไทยริเริ่มกิจกรรมหรือโครงการสร้างเสริมสุขภาพโดยไม่จำกัดกรอบวิธีการ และยินดีเปิดรับแนวทาง ปฏิบัติการใหม่ๆ ที่เป็น ความคิดสร้างสรรค์สามารถนำไปสู่การขยายค่านิยมและการสร้างพฤติกรรมสร้าง เสริมสุขภาพแก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและกว้างขวาง นับเป็นองค์กรด้านสุขภาพรูปแบบใหม่ที่สอดคล้องกับมติของสมัชชาสุขภาพโลก ด้านการสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (World Health Assembly Resolution 12.8 : Health Promotion and Health Life-Style)

อุบลฯ เอดส์เพิ่มปีละ 2 หมื่นชายรักชายมากที่สุด

อุบลฯ เอดส์เพิ่มปีละ 2 หมื่นชายรักชายมากที่สุด
เซ็กส์กับวัยรุ่น
รองมา วัยรุ่น กลุ่มแม่บ้าน และหญิงขายบริการ วอนรีบป้องกัน
ผอ.ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ เผยจ.อุบล มีผู้ป่วยเอดส์เพิ่มเฉลี่ยปีละ 2 หมื่นคน ชายรักชายมากสุด รองลงมา วัยรุ่น กลุ่มแม่บ้าน และหญิงขายบริการ แต่เข้ารักษาเพียง 2แสน จาก 6แสนคน วอนรีบป้องกัน
เมื่อ วันที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมา ศ.นพ.ประพันธ์ ภานุภาค ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย กล่าวในพิธีเปิดโครงการอบรมพยาบาลต่อเนื่อง ที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี โดยมีพยาบาลที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง จำนวน 100 คน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการคลีนิกผู้ติดเชื้อเอชไอวี เนื่องจากพยาบาลเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้ช่วยแพทย์ ตลอดจนให้การดูแลผู้ป่วยอันจะนำไปสู่การรักษาที่ดีขึ้น ลดโอกาสเกิดการดื้อยา ส่งผลให้ผู้ป่วยมีสุขภาพชีวิตที่ดีขึ้น
โดยการฝึกอบรมดังกล่าว เป็นกิจกรรมต่อเนื่องจากโครงการจีพีโอ แคร์ เอดส์ (GPO CARE AIDS) ที่ได้มุ่งเน้นด้านการวิจัยยาด้านไวรัสเอดส์ และการเผยแพร่ความรู้และการทำโครงการเพื่อผู้ติดเชื้อเอดส์ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และอยู่ร่วมกับสังคมอย่างปกติสุข
“จากสถิติของกรมควบคุมโรคพบว่า ผู้ป่วยจากโรคเอดส์เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 20,000 คน ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยรุ่นที่มีเพศสัมพันธ์ และไม่มีการป้องกัน โดยคนไทยมีโอกาสเสี่ยงจากโรคเอดส์ทุกกลุ่มอายุ แต่อย่างไรก็ตาม พบว่าผู้ป่วยโรคเอดส์ที่พบมากที่สุดอันดับ 1 คือชายรักชาย โดยเฉพาะชายที่เป็นวัยรุ่น รองลงมาคือ กลุ่มวัยรุ่นทั่วไป กลุ่มแม่บ้าน และกลุ่มหญิงบริการ” ศ.นพ.ประพันธ์ กล่าว
ด้านเภสัชกรวันชัย ศุภจัตุรัส รองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า องค์การเภสัชกรรมได้ดำเนินการผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ขึ้นใช้เองตามนโยบายซีแอลของยาต้นแบบ จนสามารถประหยัดงบประมาณของประเทศชาติได้เป็นจำนวนมาก โดยจากเดิมต้องนำเข้ายาจากต่างประเทศ ทำให้ผู้ป่วยมีค่าใช้จ่ายในการรักษาเป็นเงิน 20,000 บาท/คน/เดือน เหลือเพียง 1,200 บาท/คน/เดือน และจากการทดลองรักษากับผู้ป่วยที่ผ่านมา พบว่า เป็นตัวยาที่มีคุณภาพเทียบเท่ายาต้นแบบ ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยโรคเอดส์มีโอกาสรักษาได้ในราคาถูกลงอีก
“อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเป็นห่วง จากสถิติพบว่ามีผู้ป่วยโรคเอดส์ในประเทศไทย ประมาณกว่า 600,000 คน แต่ขณะนี้ มีผู้มาลงทะเบียนรักษาเพียง 200,000 คนเท่านั้น ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 400,000 คน ยังเป็นปัญหาในการป้องกันและควบคุมการแพร่เชื้อ จึงขอให้ผู้ป่วยเอดส์ได้ลงทะเบียนไว้และเข้าทำการรักษา เนื่องจากโรคเอดส์เป็นโรคที่สามารถรักษาได้” เภสัชกรวันชัย กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

วัยรุ่นเชียงใหม่ ติดเชื้อเอดส์พุ่ง แซงกลุ่มแม่บ้าน

วัยรุ่นเชียงใหม่ ติดเชื้อเอดส์พุ่ง แซงกลุ่มแม่บ้าน
เซ็กส์กับวัยรุ่น
แนะส่งตู้จำหน่ายถุงยางนำร่องในชุมชน 6 อำเภอ
สสจ.เชียงใหม่ เผยผลสำรวจกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวี ตะลึงพบวัยรุ่นอายุเพียง 12-15 ปี ครองแชมป์แซงกลุ่มแม่บ้าน-วัยทำงาน ส่งตู้จำหน่ายถุงยางอนามัยหยอดเหรียญนำร่องขายในชุมชน 6 อำเภอ หวังเพิ่มเปอร์เซ็นต์การใช้ถุงยาง
น.พ.วัฒนา กาญจนกามล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยแนวโน้มการติดเชื้อเอชไอวีในจังหวัดเชียงใหม่ ว่า กลุ่มเยาวชนได้กลายมาเป็นกลุ่มเสี่ยงอันดับหนึ่ง จากเดิมที่เคยเป็นกลุ่มแม่บ้านและวัยทำงาน จากการเก็บข้อมูลช่วงสองปีที่ผ่านมา พบว่ากลุ่มเยาวชนอายุ 12-15 ปี เป็นกลุ่มที่ติดเชื้อมากที่สุด โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากค่านิยมที่ผิด ที่คิดว่าการมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนของตัวเองโดยไม่ใช้บริการทางเพศกับหญิงบริการอื่นเป็นเรื่องปลอดภัย ทำให้มีอัตราการใช้ถุงยางอนามัยเพียง 30%
จากสถานการณ์ดังกล่าวสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ จึงร่วมกับหน่วยงานด้านการป้องกันโรคเอดส์ทั้งภาครัฐและเอกชน จัดโครงการป้องกันการติดเชื้อเอดส์ทางเพศสัมพันธ์ ในกลุ่มเยาวชนในชุมชนจังหวัดเชียงใหม่ โดยจะนำตู้จำหน่ายถุงยางอนามัยแบบหยอดเหรียญ ไปติดตั้งในชุมชนต่างๆ และให้แกนนำเยาวชนในแต่ละชุมชนนำถุงยางอนามัยไปแจกจ่าย และจำหน่ายให้วัยรุ่นกลุ่มเสี่ยง ซึ่งเป็นการดำเนินการในเชิงรุก โดยจะนำร่องในพื้นที่อำเภอสันทราย ดอยสะเก็ด แม่ออน แม่ริม สารภี และอำเภอฝาง ก่อนขยายให้ครอบคลุมทั้ง 24 อำเภอ ภายใน 1 ปี
สำหรับโครงการดังกล่าว จะมีการส่งวัยรุ่นที่ผ่านการอบรมเข้าไปให้ความรู้ เพื่อสร้างความเข้าใจและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยตั้งเป้าลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มเยาวชน โดยให้มีการใช้ถุงยางอนามัยเพิ่มขึ้นจากเดิม 30% เป็น 60% นายพรชัย ทะนามแสง ผู้ประสานงานโครงการ ระบุว่า การจำหน่ายถุงยางอนามัยผ่านแกนนำเยาวชนในชุมชน ได้ผลดีกว่าการวางจำหน่ายตามร้านสะดวกซื้อ เพราะวัยรุ่นจะเกิดความไว้ใจเป็นพวกเดียวกันมากกว่า ซึ่งผู้เป็นแกนนำจะไม่นำความลับของลูกค้าไปเปิดเผย จนเกิดความไว้วางใจ จนหันมาใช้ถุงยางอนามัยกันมากขึ้น

กระบอกเพิ่มขนาดจู๋ อันตราย! สธ.เตือน"หด"ถาวร

กระบอกเพิ่มขนาดจู๋ อันตราย! สธ.เตือน"หด"ถาวร
เซ็กส์กับวัยรุ่น
โฆษณาเกร่อ-เกินจริง ศาลชี้ช่องฟันหมอตัดจู๋


สธ.เตือนระวังกระบอกสุญญากาศเพิ่มขนาด"เจ้าโลก" ใช้ผิดวิธีอาจทำให้ขาดเลือดจนหมดสภาพอย่างถาวร ชี้เผยแพร่ตามสื่อจนเกลื่อนกลาด อวดอ้างสามารถเพิ่มขนาดภายใน 1 เดือน ทั้งที่ความจริงเป็นวิธีการดึงเลือดมาที่เจ้าโลกเพื่อช่วยให้แข็งตัวเท่านั้น ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ และใช้ตามกำหนดไม่เกินครั้งละ 30 นาที ส่วนกรณีแพทย์ตัดไข่แปลงเพศกะเทย ผู้พิพากษาชี้มีกฎหมายให้เอาผิดแพทย์ได้ โทษจำคุกถึง 10 ปี ระบุเป็นการทำร้ายร่างกายจนสาหัส
เมื่อวันที่ 12 พ.ค. กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ออกประกาศเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อการอวดอ้างกระบอกสุญญากาศสามารถเพิ่มขนาด และเพิ่มความยาวอวัยวะเพศชาย หรือเพิ่มพลังทางเพศ เพราะเป็นเพียงอุปกรณ์ที่ช่วยให้องคชาตแข็งตัว และหากใช้ผิดวิธีอาจทำให้อวัยวะเพศขาดเลือดและใช้การไม่ได้อีก ดังนั้นก่อนใช้ควรปรึกษาแพทย์ และใช้ตามกำหนด คือ ไม่เกินครั้งละ 30 นาที พร้อมแนะนำวิธีแก้ปัญหาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เพียงดูแลรักษาสุขภาพกายและสุขภาพใจให้แข็งแรง รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมช.สาธารณสุข เปิดเผยว่า ปัจจุบันปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศของผู้ชายมีแนวโน้มสูงขึ้น ทำให้มีการพยายามหาวิธีการในการแก้ไขปัญหาที่จะช่วยให้อวัยวะเพศแข็งตัว และสามารถปฏิบัติกิจกรรมทางเพศได้เหมือนผู้ชายปกติ จึงมีการจำหน่ายอุปกรณ์ชนิดหนึ่ง คือ กระบอกสุญญากาศ ออกวางจำหน่ายตามท้องตลาดและสื่อต่างๆ เช่น นิตยสาร วารสาร หนังสือพิมพ์ เป็นต้น โฆษณาอวดอ้างว่า สามารถเพิ่มขนาด และยืดความยาวของอวัยวะเพศชายภายใน 1 เดือน ทำให้แข็งแรง ทนทานต่อการบีบรัดและการเสียดสีมากยิ่งขึ้น ช่วยทำให้เกิดการหลั่งที่ช้าลง และแก้ปัญหาการไม่แข็งตัวของอวัยวะเพศ ซึ่งความจริงกระบอกสุญญากาศเป็นเพียงอุปกรณ์ที่ช่วยให้องคชาตแข็งตัว ด้วยการสร้างสุญญากาศรอบองคชาต และดึงเลือดมาสู่องคชาต ทำให้พองโตขยายตัวขึ้นเท่านั้น
นายชวรัตน์ กล่าวว่า การใช้กระบอกสุญญากาศมีความเสี่ยงต่อการเกิดอันตราย ดังนั้นก่อนการตัดสินใจใช้ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางก่อน สำหรับการใช้งานครั้งละไม่เกิน 30 นาที หากใช้เกินกำหนดจะทำให้อวัยวะเพศขาดเลือด และสูญเสียหน้าที่อย่างถาวร และห้ามใช้อุปกรณ์ดังกล่าวเมื่อมีการใช้ยาหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เนื่องจากอาจเกิดอันตรายจากการใช้อุปกรณ์ และอุปกรณ์ดังกล่าวอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บบวมภายในอวัยวะเพศหรือถุงอัณฑะ ไส้เลื่อน หรือเม็ดเลือดแดงแตก
ด้านน.พ.ชาตรี บานชื่น เลขาธิการคณะกรรมการ อาหารและยา(อย.) กล่าวว่า สาเหตุการเสื่อมสมรรถ ภาพทางเพศเกิดได้จาก 2 สาเหตุ คือ ทางกาย ได้แก่ อายุเพิ่มขึ้น โรคประจำตัวบางอย่าง เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ เป็นต้น อีกสาเหตุมาจากด้านจิตใจ เช่น ความเครียด ความวิตกกังวล ความรู้สึกผิด ความซึมเศร้า เป็นต้น นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการสูบบุหรี่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนของกระแสเลือด หรือการมีฮอร์โมนเพศผิดปกติ คือ มีฮอร์โมนเพศชายน้อยเกินไป วิธีที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาการเสื่อมสมรรถ ภาพทางเพศ คือ การบำรุงรักษาสุขภาพให้ดีทั้งกายและจิตใจ โดยการเลือกรับประทานอาหารครบทั้ง 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงอาหารกลุ่มที่ก่อให้เกิดโทษกับร่างกาย ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ทั้งอาหารที่รับประทานและจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว
เลขาธิการอย.กล่าวว่า อย.ติดตามตรวจสอบเครื่องมือแพทย์ ที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริงอยู่เสมอ ซึ่งหากพบ อย.จะดำเนินการตามพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ฉบับใหม่ คือ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

วัยรุ่นไทยน่าห่วงมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน

วัยรุ่นไทยน่าห่วงมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน
เซ็กส์กับวัยรุ่น
เผย! ผลสำรวจมากกว่าครึ่งเคยทำแท้ง
เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากการสำรวจดุสิตโพลในหญิงวัยเรียน กทม.และต่างจังหวัด 1,031 คน ระหว่างวันที่ 21 มิถุนายน-10 กรกฎาคม ที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่มีเพื่อนหรือคนรู้จักมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียนและอยู่ก่อนแต่ง 77.69% และ 66.15% ไม่กล้าบอกผู้ปกครองว่ามีเพศสัมพันธ์ ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่าง 56.95% ไม่เห็นด้วยกับการมีเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่างมีเพื่อนหรือคนรู้จักทำแท้งในวัยเรียน 51.98% ขณะที่ 90% ขึ้นไปของกลุ่มตัวอย่างเห็นว่า การทำแท้งเป็นเรื่องที่บาปมาก น่ากลัวและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ผลสำรวจนี้สอดคล้องกับข้อมูลของกรมอนามัยที่พบว่า วัยรุ่น 36% เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว และมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก อายุเฉลี่ย 16 ปี ซึ่งมีแนวโน้มที่จะมีอายุน้อยลงเรื่อยๆ โดยที่เพศชายอายุเฉลี่ย 15 ปี และเพศหญิงอายุเฉลี่ย 16 ปีเร็วกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ซึ่งมีอายุเฉลี่ย 19 ปี จึงทำให้เกิดการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ และการทำแท้ง โดยแม่ที่คลอดบุตรมีอายุน้อยกว่า 20 ปี เพิ่มจาก ในปี 2542 ที่มี 12.5% เป็น 14.7% ในปี 2549 ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ 10% จากปัญหาดังกล่าวทำให้ประเทศไทยมีเด็กทารกถูกทอดทิ้งวันละ 3 คน
นพ.กิตติพงศ์ แซ่เจ็ง ผู้อำนวยการกองอนามัยเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กล่าวว่า ขณะนี้น่าเป็นห่วงวัยรุ่นที่นิยมซื้อยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินมารับประทานเองหลังมีเพศสัมพันธ์ เพราะส่วนใหญ่จะไม่ทราบวิธีใช้ที่ถูกต้อง ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับสุขภาพ อาทิ ประจำเดือนมาไม่ปกติ กะปริบกะปรอย จนถึงขั้นท้องนอกมดลูกได้ เพราะยาดังกล่าวเหมาะสำหรับผู้ที่ถูกข่มขืนหรือถุงยางอนามัยรั่วหรือหลุดหลังมีเพศสัมพันธ์ แต่วัยรุ่นกลับใช้วิธีดังกล่าวแทนการทานยาคุมกำเนิดชนิดแผงและการใช้ถุงยางอนามัย
"การใช้ยาคุมกำเนิดดังกล่าวยังเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์มากถึง 25% เพราะต้องทานยาเม็ดแรกภายใน 72 ชั่วโมงก่อนมีเพศสัมพันธ์ แต่จะได้ผลดีต้องทานภายใน 24 ชั่วโมง และตามด้วยเม็ดที่สองภายใน 12 ชั่วโมงถัดจากทานเม็ดแรก ผลเสียที่จะเกิดขึ้นหากทานยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินเกินกว่าข้อบ่งชี้ที่ไม่ควรทานเกินเดือนละ 4 เม็ด หากเกินจะทำให้มีประจำเดือนมาไม่ปกติและอาจทำให้เกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้" นพ.กิตติพงศ์กล่าว
ศ.นพ.วรพงศ์ ภู่พงศ์ ผู้แทนสภาวิชาการคุมกำเนิดแห่งภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกประจำประเทศไทย กล่าวว่า จากข้อมูลการวิจัยของสภาวิชาการฯ พบว่าผู้หญิงกว่า 123 ล้านคนทั่วโลกมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้คุมกำเนิด และกว่า 85% หญิงตั้งครรภ์ภายในปีแรก แต่พบว่า มีการใช้คุมกำเนิดเพียง 7% ของหญิงทั่วโลกเท่านั้น ในจำนวนนี้ กว่า 46 ล้านคนทั่วโลกตัดสินใจทำแท้ง และในจำนวนนี้ 27 ล้านคนอยู่ในทวีปเอเชีย ซึ่งเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยทำให้หญิงทั่วโลกเสียชีวิตปีละ 7.8 หมื่นราย
ทั้งนี้ กรมอนามัยได้ร่วมมือกับสภาวิชาการฯ ศูนย์วิทยาศาสตร์สาธารณสุขฯ บริษัท ไบเออร์เชริ่ง ฟาร์มา เปิดโครงการ รักนี้คุมได้ขึ้น โดยจัดทำเว็บไซต์ www.mylovemycontrol.com พร้อมกับสมุดเลิฟไดอารี่ รักนี้คุมได้ เพื่อเป็นคู่มือของสาวยุคใหม่ บันทึกประจำเดือนเพื่อสุขภาพ





ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน

01 เมษายน 2553

ต่อ

วิธีการดูแลตัวเองในช่วงวิกฤติ
1. ห้ามออกนอกบ้านโดยเด็ดขาด ใครมาเคาะประตูบ้านก็ห้ามเปิด ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นญาติสนิทหรือคนที่เรารู้จักก็ตาม (เหตุผลอยู่ในข้อ 4 ครับ)
2. ห้ามตากฝน เพราะในฝนจะมีพิษ ทั้งเชื้อโรคและสารเคมีที่มนุษย์สร้างขึ้น มลภาวะที่ขึ้นไปติดค้างอยู่ตามชั้นบรรยากาศจะลงมาพร้อมกับฝน
3. ห้ามลุยน้ำหรือแช่น้ำนานๆ แต่ถ้าหลีกเลียงไม่ได้ต้องใช้ด่างทับทิมล้างทุกครั้ง (ตอนนั้นคงขึ้นราคาอ่ะนะ ฮ่าๆๆ)
4. ห้ามเปิดประตูต้อนรับผู้อื่น เพราะช่วงเวลานั้นประตูมิติของโลกทั้ง 3 ภพ จะถูกเปิดเป็นครั้งแรก ผู้ไม่เชื่อเรื่องผีสาง จิตวิญญาณ ก็จะได้เห็น คนที่มาเยือนอาจเป็นผีเปรต ผีโขมด ที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราจำแลงมาก็เป็นได้และห้ามอยากรู้อยากเห็นโดนเด็ด ขาด
5. ห้ามกินเนื้อสัตว์ทุกชนิด
6. ห้ามกินผักที่ยังไม่ได้แช่ด่างทับทิม เพื่อป้องกันสารพิษตกค้างครับ
7. ฝึกการกินน้อย ถ่ายน้อย
8. ระวังอากาศที่หนาวเย็น
9. ระวังสัตว์ร้าย สัตว์มีพิษเช่น งูพิษ จระเข้
10. ห้ามอยู่ตึกสูงเกิน 3 ชั้น เพราะตึกสูงเกิน 3 ชั้น จะพังทลายราบเป็นหน้ากลอง

การเตรียมตัว

การเตรียมตัวเตรียมปัจจัยเพื่อตนเองและสมาชิกในครอบครัว ไปดูกันเลยครับ
1. เตรียมอาหารและน้ำดื่มไว้ที่บ้านอย่างน้อย 3-6เดือน
2. เครื่องนุ่งห่มเพื่อความอบอุ่นของร่างกาย ได้แก่ เสื้อผ้า กระเป๋าน้ำร้อน ผ้าห่ม ฯลฯ เพราะในช่วงเวลานั้นอากาศจะหนาวเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ
3. เครื่องใช้ที่จำเป็น
4. ที่อยู่อาศัย
5. ยารักษาโรค
6. ด่างทับทิมและคาราไมล์(จำเป็นมาก) ห้ามกินอาหารที่มาได้ล้างด้วยด่างทับทิม เพราะจะมีทั้งเชื้อโรคและสารกัมมันตรังสี ส่วนอาราไมล์ จะมีไว้รักษาโรคทางผิวหนังที่ดูเหมือนจะยากต่อการรักษา แต่เมื่อทาคาราไมล์แล้ว จะหายได้อย่างน่าอัศจรรย์
7. ยานพาหนะ เช่น เรือ เสื้อชูชีพ
8. เครื่องช่วยชีวิต
9. แสงสว่างเช่น เทียน ตะเกียงพายุ (เวลานั้นท้องฟ้าจะมืดมิด 7 วัน เท่ากับ 1 ราตรี และจะมืดมิดรวม 7 ราตรี หรือ 49 วัน ไฟฟ้าจะดับทั่วโลก)
10. เครียมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง

ต่อวันสิ้นโลก

สถานที่แห่งแรกในประเทศไทย
ที่จะได้เผชิญกับลาวาร้อนจากไฟใต้โลก
จะเกิดขึ้นจากทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดแรกในภาคอีสาน
ตามรอยต่อของจังหวัดที่ติดกันเป็นแนวยาว
เริ่มแรกจะมีลักษณะเป็นแนวแยกของแผ่นดินคดเคี้ยว
ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ธารโลหะร้อนจะไหลลามแผ่ออกไปเป็นบริเวณกว้าง
ข้ามวันข้ามคืนติดต่อกัน
จากนั้นพายุที่รุนแรงจะนำน้ำมาดับไฟ
ก่อให้เกิดนำท่วมและโรคร้ายที่จะระบาดอย่างรุนแรง
จนสุดที่จะเยียวยาได้
โดยเฉพาะอหิวาตกโรคสายพันธุ์ใหม่
ที่มนุษย์เชื่อว่าได้กำจัดมันจนหมดไปจากโลกนี้แล้ว
แต่หารู้ไม่ว่ามันกำลังฟักตัว
และจะมีฤทธิ์ร้ายแรงกว่าตอนที่ถูกมนุษย์ปราบมันไปตอนนั้นเสียอีก
ซึ่งมันสามารถคร่าชีวิตผู้รับเชื้อได้ในระยะเวลาเพียงวันเดียวเท่านั้น

**********************************

ท้องฟ้ามืดมิด ฝนจะเริ่มตกหนักทั่วโลกอย่างไม่หยุดยั้ง
น้ำจะเอ่อขึ้นเรื่อยๆ จนเข้าท่วมแผ่นดินในหลายๆ พื้นที่
พายุไซโคลนจะพัดกระหน่ำ
ซึ่งจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 160 กม./ชม.
พัดผ่านกรุงเทพ ผ่านช่องแม่น้ำเจ้าพระยา
ตึกแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ที่อยู่ใกล้กับสะพานกลางเก่ากลางใหม่
ในย่านฝั่งธนบุรีจะพังทลายลงมา
จากการโหมกระหน่ำและความบ้าคลั่งของลมพายุ
มีผู้เสียชีวิตในครั้งนี้มีไม่ต่ำกว่า 600 คน

ในเวลาหลังจากนั้นไม่นานนัก
ตึกสีขาวที่อยู่ริมแม่น้ำฝั่งตรงข้ามจะพังทลายตามลงมา
ยอดตึกที่พังทลายจะแลเห็นโผล่เหนือน้ำ
ให้เห็นเป็นอนุสรณ์ของคราบน้ำตา
หลังคาบ้านเรือนในบริเวณใกล้เคียงจะปลิวว่อน
เสาไฟฟ้าจะล้มระเนระนาด ด้วยความรุนแรงของลมพายุ

******************************

ตึกสูงย่านประตูน้ำ ในกรุงเทพมหานคร
ผนังตึกส่วนหนึ่งจะรูดลงมากองกับพื้น
ด้วยความรุนแรงของลมพายุที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง
จะสร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนในบริเวณใกล้เคียง
อย่างเหลือที่จะคณานับ

*******************************

เทือกเขาตะนาวศรีในเขตจังหวัดราชบุรี จะพังทลายลงมา
เนื่องจากแผ่นดินไหวที่รุนแรง
ซึ่งจะเปิดเผยให้เห็นถึงภูเขาไฟที่ซุกซ่อนอยู่
หลังจากนั้นไม่นานภูเขาไฟลูกแรกในประเทศไทย
จะระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง
เสียงดังกึกก้องกัมปนาทดังมาถึงกรุงเทพ
ธารลาวาจะไหลลงไปยังฝั่งพม่า
ไม่นานนักระเบิดลูกที่สอง และลูกที่สามก็ตามมา
ลูกที่สี่ จะรุนแรงอย่างถึงที่สุด
ซึ่งจะสร้างความอำมหิตให้กับภาคเหนือและภาคอีสานต่อไป

********************************

ณ บ้านกุดฉิม อำเภอหนองเรือ จัดหวัดขอนแก่น
จะเกิดภูเขาไฟแห่งที่สองระเบิดขึ้น มีผู้เสียชีวิตประมาณ 500 คน
เกิดแผ่นดินไหว และมีลาวาร้อนจากภูเขาไฟ
ไหลเคลื่อนตัวทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า
เกิดขึ้นที่บ้านโพธิ์ อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย
มีผู้เสียชีวิตร่วมพันคน

*******************************

เกิดภูเขาไฟระเบิดในจังหวัดกาฬสินธุ์ อย่างกระทันหัน
จนยากที่ผู้คนในบริเวณนั้นจะตั้งตัวทัน
และจะเกิดปรากฎการณ์ที่แปลกประหลาด
มีจำนวนเด็กและผู้หญิงเสียชีวิตมากกว่าผู้ชาย

จังหวัดตรัง เกาะทุกเกาะจะจมหายไป
เนื่องจากลมพายุที่รุนแรงและทะเลคลั่ง
ที่กลบกลื่นหมู่เกาะให้หลับลึกไปอย่างรวดเร็ว

สมุทรปราการ จะจมหายลงไปในท้องทะเลครึ่งเมืองอย่างถาวร
เนื่องมาจากลมพายุที่โหมกระหน่ำ
บวกกับน้ำทะเลหนุนสูง น้ำจะท่วมอย่างรวดเร็ว
และมีสายน้ำเปลี่ยนทิศไหลผ่าเมืองอย่างน่าหวาดกลัว
ผู้ที่รับบาดเจ็บจากหายนะในครั้งนี้
จะถูกนำส่งยังโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
ที่อยู่ใกล้กับห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านสำโรง
ซึ่งโรงพยาบาลแห่งนี้จะเป็นประตูต้นทาง
ของกระแสน้ำที่ไหลเปลี่ยนทิศ
แต่ก็เป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุดของเมืองสมุทรปราการ

เกาะสมุย จะถูกลบหายไปจากแผนที่โลก
เนื่องจากแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง
และเกิดพายุรวมทั้งคลื่นยักษ์ซัดกระหน่ำ
จนกระทั่งเกาะทั้งเกาะจมหายลงไปในท้องทะเล
อย่างไม่มีวันหวนกลับคืน

****************************

เกิดแผ่นดินไหวที่ตัวเมืองบุรีรัมย์ เสียชีวิตทันที 53 คน
ผู้บาดเจ็บที่เหลือจะเสียชีวิตอย่างมากมาย
ในระหว่างทางไปโรงพยาบาล

เกาะปันหยี จังหวัดพังงา เกิดน้ำท่วมสูง
และพายุที่รุนแรงโหมกระหน่ำ
เกาะหายสาบสูญอย่างถาวร ผู้คนเสียชีวิตทั้งเกาะ

เขื่อนบางลาง จังหวัดนราธิวาส ถูกคลื่นจากทะเลซัดกระหน่ำ
จนกระทั่งเขื่อนแตก น้ำไหลทะลักเข้าท่วมแผ่นดิน
รวมทั้งน้ำทะเลที่ถาโถมเข้าใส่แผ่นดินอย่างบ้าคลั่ง
จนกระทั่งไม่มีนราธิวาส หลงเหลืออยู่ในแผนที่โลก

บ้านหาดเล็ก จังหวัดตราด ถูกคลื่นยักษ์ไซโคลนกระหน่ำ
แผ่นดินหายไม่มีเหลือ

ยะลา ถูกทะเลคลั่งโหมกระหน่ำ น้ำทะเลสูง แผ่นดินหาย
เหลือเพียงเกาะเล็กๆ เท่านั้น ที่จะมีชื่อเรียกใหม่ว่า"เกาะยะลา"

จังหวัดสงขลาน้ำท่วมสูง เกาะทุกเกาะจมหาย
จะเหลือเพียงหาดใหญ่บางส่วนที่น้ำจะไม่ท่วมถาวร

*************************

ชลบุรี ชายฝั่งทะเลบางแสน ถูกคลื่นยักษ์ 4-5 เมตร
ซัดกระหน่ำอย่างรุนแรงจนกระทั่งมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งพังพินาศ
แต่น้ำทะเลจะไม่ท่วมถาวร

ฉะเชิงเทรา น้ำจะท่วมถึงสองฝั่งบางปะกง จนถึงฐานหลวงพ่อโสธร

กระบี่จะถูกพายุพัดกระหน่ำ ผืนดินทางด้านตะวันออกจะหายไป
ชาวประมง ประมาณ 180 คนจะถูกกลืนหายไปในท้องทะเล

ชุมพร จะเผชิญพายุฝนที่รุนแรง คลื่นจัด น้ำท่วมสูง
ศาลกรมหลวงชุมพรจะเหลือไว้เป็นอนุสรณ์ให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์

อุทยานภูริน นางย่อง สิมิลัน จังหวัดพังงา ถูกคลื่นยักษ์ซัดหาย

********************************

ภูเก็ต ถูกพายุถล่มอย่างบ้าคลั่ง
จะกระทั่งเกาะทั้งเกาะหายไปจากแผนที่โลก
มีผู้เสียชีวิตทันทีประมาณ 40,000 – 60,000 คน

********************************

นครศรีธรรมราชน้ำท่วมใหญ่ มีผู้เสียชีวิตประมาณ 20,000 คน
พังงา น้ำท่วม แผ่นดินจะถูกกลืนจมหายลงไปในท้องทะเล

ปัตตานี ฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วมทั้งจังหวัด
แต่ วัดช้างไห้ ของหลวงปู่ทวด จะปลอดภัย
รูปปั้นหลวงปู่ทวดจะแสดงปาฎิหารย์ ลอยน้ำขวางกระแสน้ำว
น้ำจะแห้ง วัดช้างไห้จะกลายเป็นเกาะกลางน้ำ

เขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์จะพังหลาย กระแสน้ำที่วกราด
จะทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า มีผู้เสียชีวิตทันที่ประมาณ 200 คน

เกิดภูเขาไฟระเบิดอย่างกึกก้องกัมปนาถที่จังหวัดอุตรดิตถ์
กาญจนบุรี เขื่อนศรีนครินทร์จะมีปัญหา
น้ำไหลอ้อมเขื่อนท่วมด้านล่างเสียหายบางส่วน
รวมทั้งน้ำท่วมสูงแผ่นดินหายถาวรครึ่งจังหวัด

***************************

นครราชสีมา เกิดน้ำท่วมใหญ่เป็นประวัติการณ์
กระแสน้ำจะท่วมสูงจนถึงฐานของอนุเสาวรีย์ย่าโม
******************************

ทุกจังหวัดในประเทศไทยต่างก็ได้รับความบอบช้ำด้วยกันทั้งสิ้น
จะมากน้อยต่างกันไป บริเวณใดที่มีผู้คนมีศีลธรรมอาศัยอยู่
อาจได้รับการปกป้อง บรรเทาภัยพิบัติให้เบาบางลงไปได้บ้าง

ข้อมูลทุกอย่างที่กล่าวมานี้อาจเปลี่ยนแปลงได้
แต่ระดับความรุนแรงจะไม่เปลี่ยนแปลงแน่นอน
ดังเช่นภูเขาไฟที่กล่าวว่าจะเกิดในสถานที่หลายแห่งนั้น
อาจเกิดระเบิดกึกก้องกัมปนาถรวมกันในสถานที่แห่งเดียว
แต่จะมีความรุนแรงมากกว่าปกติ
กล่าวคือ อาจมีลาวาจะพุ่งสู่ท้องฟ้าสูงเป็นพิเศษ
ถึง 6 กิโลเมตร เป็นต้น

เหตุการณ์ต่างๆ ที่กล่าวมานั้น
จะมีอยู่วันหนึ่งที่เกิดเหตุการณ์รุนแรงที่สุด
คลื่นพลังมหาศาลจากจักรวาลจะกระแทกลงมายังโลก
เป็นพลังงานที่เกิดจากลมพายุสุริยะ
อันเนื่องมาจากจุดดับบนดวงอาทิตย์จุดที่ 11

มนุษย์ทุกคนบนโลก จะได้พบกับเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว
บรรยากาศช่วงแรกๆ จะรู้สึกหดหู่ เวิ้งว้าง ท้องฟ้าจะวังเวงพิกล
หลังจากนั้นไม่นานนักลมจะแรงขึ้น แรงขึ้น เสียงฟ้า เสียงลม
จะแผดเสียงกึกก้องดังที่สุด
ตั้งแต่เกิดมาจะไม่เคยได้ยินเสียงที่ดังขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
มันเป็นเสียงของมัจจะราชที่จะพิพากษาโลกในด้านความเป็นมนุษย์
คนชั่วทุกคนจะถูกประหารชีวิต และจะตายอย่างทรมาน
ไม่เว้นแม้แต่ผู้นำสังคม ผู้นำเศรษฐกิจ ผู้นำลัทธิ ฯลฯ
ส่วนคนดีจะได้รับการยกเว้นเอาไว้
ให้ได้ทำความดีโดยไม่มีอุปสรรคต่อไป

*********************************


แผ่นดินไทยที่สาบสูญ

บริเวณที่หายถาวรทั้งแผ่นดิน

นราธิวาส สตูล พังงา ภูเก็ต หมู่เกาะสิมิลัน หมู่เกาะสุรินทร์
หมู่เกาะ ตะรูเตา หมู่เกาะทะเลตรัง ตราด เกาะช้าง
หมู่เกาะทะเลตราด เกาะสมุย เกาะพงัน อ่างทอง ชะอำ

บริเวณที่เหลือเพียงบางส่วน แต่จะกลายเป็นเกาะเล็กๆ

เกาะยะลา เกาะปัตตานี เกาะพัทลุง เกาะสิชล-ขนอม
เกาะหัวหิน เกาะหาดทรายรี-ชุมพร

บริเวณที่หายเป็นส่วนใหญ่ จะเหลือเพียงบางส่วน

ยะลา หาดใหญ่ พัทลุง ตรัง สุราษฎร์ธานี
นครศรีธรรมราช ประจวบคีรีขันธ์
เพชรบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา
ชลบุรี ระยอง จันทบุรี สมุทรปราการ อุบลราชธานี
แผ่นดินริมแม่น้ำโขงตลอดแนว กาญจนบุรี
ฯลฯ

ประเทศไทยจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน

ได้แก่พื้นที่ในส่วนภาคกลางอันเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ
และบริเวณในส่วนของภาคใต้ที่จะถูกแบ่งออกเป็น 2 เกาะใหญ่ๆ
ได้แก่

1. บริเวณตั้งแต่ชุมพรฝั่งตะวันตก ท่าแซะ ระนอง
สุราษฎร์ธานีฝั่งตะวันตก บริเวณด้านบนของอำเภอพนม
อ.เทียนชา อ.บ้านนาเดิม นครศรีธรรมราชตอนบน ขนอม

2. บริเวณตั้งแต่จังหวัดกระบี่ นครศรีธรรมราช
ที่ต่อแดนกับจังหวัดกระบี่ด้านบน ฉวาง ร่อนพิบุลย์ ชะอวด
จังหวัดตรังด้านตะวันออก จังหวัดพัทลุงด้านตะวันตก หาดใหญ่
จังหวัดยะลา ด้านตะวันตก

นอกจากนี้ยังมีเกาะเล็ก เกาะน้อยที่เกิดขึ้นมาใหม่อีกหลายเกาะ
ได้แก่เกาะสัต!บ เกาะยะลา เกาะปัตตานี
เกาะพัทลุง เกาะสิชล-ขนอม
เกาะหัวหิน เกาะหาดทรายรี-ชุมพร

บริเวณที่จะกลายเป็นพื้นที่ติดกับทะเล

ดินแดนที่จะมีอาณาเขตติดกับทะเล ได้แก่
สงขลาทางด้านตะวันตก ยะลาทางด้านตะวันออก
หาดใหญ่ กระบี่ตอนบน ด้านที่ติดกับจังหวัดสุราษฎร์ธานี
และด้านที่ติดกับจังหวัดพังงา
ตอนกลางของจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ตั้งแต่ อ.พนม อ.เคียงซา จรดเขตจังหวัดกระบี่
ชุมพรด้านใน ท่าแซะ
ตอนล่างของเมืองประจวบคีรีขันธ์
และถนนเพชรเกษมฝั่งตะวันออกตลอดแนว
ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ถนนชลบุรี-ปากท่อ ช่วงสมุทรสงคราม และสมุทรสาคร
ตัวเมืองแปดริ้ว บ้านค่ายปลวกแดง จ.ระยอง ตัวเมืองจันทรบุรี
และตลาดท่าใหม่วังน้ำเย็น จรด จ.สระแก้ว
เหนือเขื่อนเขาแหลมด้านตะวันตก
กาญจนบุรี ศรีสะเกษ อุบลราชธานี มุกดาหาร สกลนคร
นครพนม เลย หนองคาย อำนาจเจริญ
บ้านร่มเกล้า จังหวัดพิษณุโลก
อุตรดิตถ์ ด้านที่ติดกับประเทศลาว น่าน ด้านตะวันออกตอนล่าง
บ้านสบเมย จ.แม่ฮ่องสอน

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะกลายเป็นดินแดนชายฝั่งทะเล !

ประเทศไทยเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์
ที่จะได้รับการปกป้อง คุ้มครองรักษาไว้
ซึ่งจะได้รับความบอบช้ำจากมหันตภัยธรรมชาติน้อยที่สุดในโลก
และจะเป็นอู่ข้าวอู่น้ำซึ่งมีความเจริญเป็นศูนย์กลางของโลกต่อไป

เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในต่างประเทศ

เหตุการณ์ในต่างประเทศ

เกาะฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา
ถูกคลื่นยักษ์ที่มาพร้อมกับพายุไซโคลนกระหน่ำ
ทั้งเกาะจะถูกลบหายไปจากแผนที่โลก

พิลิปปินส์ ถูกพายุไซโคลนกระแทก
ก่อนเกิดเหตุจะแลเห็นน้ำทะเลเป็นสีดำหม่นหมอง
บรรยากาศหดหู่ เวิ้งว้าง
ไม่นานนักจะเกิดพายุไซโคลนก่อตัวขึ้น
พายุไซโคลนที่รุนแรง ข้างล่างดูด ข้างบนตี กระแทก
จนกระทั่งเกาะทุกเกาะจมหายลงไปในท้องทะเล

ไอแลนด์เหนือและใต้ อากาศหนาวจัด
อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน
ในขนะเดียวกันจะถูกคลื่นยักษ์ซัดกระหน่ำ
ในขณะที่หนาวจัดนั่นเอง

ฮ่องกงถูกทะเลคลั่ง น้ำทะเลสูง
ชินจุงจะหายถาวร
เกาะสนามบินแห่งใหม่
จะถูกคลื่นตีแตกหายไปในทะเล
ในบริเวณแถบนั้นจะเหลือแต่เพียงเกาะเกาลูน
และประเทศจีนบางส่วน

วันสิ้นโลก

1.ประกาศจากองค์การ NASA วันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) วันนั้นแกนโลกของเราจะพลิกกลับขั้ว คือ ขั้วโลกเหนือจะมาอยู่ที่ขั้วโลกใต้ ช่วงเวลานั้น โลกของเราจะไม่มีสนามพลังแม่เหล็ก เพื่อป้องกันตัวเองจากสนามพลังแม่เหล็ก และ รังษีต่างๆจากอวกาศ
แล้ววันนั้นจะเป็นวันเดียวกับที่ ดวงอาทิตย์จะพลิกกลับขั้วเช่นกัน เพราะดวงอาทิตย์จะพลิกกลับขั้วทุกๆ 11 ปี ปีล่าสุดคือปี พ.ศ. 2544 ถ้ามาถึงวันนี้ก็ 11 ปีพอดี (2544 + 11 = 2555) ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังพลิกกลับขั้วนั้น ดวงอาทิตย์จะแผ่สนามแม่เหล็ก และรังษีความร้อนสูงมายังโลก ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่โลก ไม่มีสนามแม่เหล็กป้องกันตัวเอง ผลคือ น้ำแข็งขั้วโลกละลายฉับพลัน น้ำท่วมโลกฉับพลัน ไม่มีทางหนีได้ทัน ในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)
[อ้างอิง กรรมจริงๆ 22 ธ.ค พ.ศ. 2555 จะเกิดปรากฏการณ์แกนโลกพลิก และการพลิกกลับขั้วของดวงอาทิตย์ มันคือวันหายนะภัยพิบัติของโลก]


2.ชาวมายา (ชนเผ่ามายาแห่งอเมริกากลาง) ทำปฏิทินใช้เองตั้งแต่ 1,000 ปีที่แล้ว ชนเผ่ามายานี้มีความสามารถในการคำนวนการโคจร การเกิดดับของดวงดาวอย่างไม่น่าเชื่อ คือเขาสามารถคำนวนว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์โดยใช้เวลา 365 วัน ตั้งแต่ 1,000 ปีที่แล้ว ซึ่งตรงกับปฏิทินที่ชาวโลกปัจจุบันใช้กัน แล้วยังสามารถคำนวนเกี่ยวกับระบบสุริยะจักรวาลได้อย่างแม่นยำมาก
ชาวมายายังกำหนดวันสุดท้ายของปฏิทินของพวกเขาคือ วันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) พวกเขาบอกด้วยว่า วันนั้นโลกจะถึงจุดสิ้นสุด (โดยบอกไว้เมื่อ 1,000 กว่าปีที่แล้ว) น่าแปลกมาก ทำไมมาตรงกับองค์การ NASA ครับ ไม่น่าเชื่ออ่ะ
[อ้างอิง เวรกรรม ปฏิทินของชาวมายา (ชาวเผ่ามายาแห่งอเมริกากลาง) นั้นสิ้นสุดในปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) หรือวันนั้นโลกมนุษย์จะวิบัติ]


3.นาย Gordon-Michael Scallion เป็นผู้หยั่งรู้อนาคต (futurist) มีญาณทัศนะ(Spiritual Visionary) คือมองเห็นอนาคตด้วยญาณ มีความแม่นยำมาก เขาได้ทำนายว่า น้ำกำลังจะท่วมโลก จนหลายประเทศหายไปจากแผนที่ ประเทศที่เป็นเกาะจะจมน้ำทั้งหมด ประชากรโลกที่รอดตายมีเพียง 10% เท่านั้น เขาเชื่อว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในระหว่างปี 1998-2012 (พ.ศ.2541-พ.ศ.2555) และเขาได้สร้างแผนที่โลกใหม่หลังน้ำท่วมครั้งใหญ่ ภายใต้ชื่อ Future Map Of The World ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1978 (พ.ศ. 2521) ซึ่งประเทศไทยเหลือแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น


4."หลวงปู่สรวง ออยเตียนสรูล" กล่าวไว้ว่า พ.ศ. 2550 ถึง 2555 หางนาคกวาดน้ำให้โลกมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว กำลังจะกวาดน้ำขึ้นมาล้างโลก จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ คนไม่ดีไม่มีศีลธรรม จะล้มตายมาก ส่วนคนดีมีศีลธรรม จะอยู่รอดปลอดภัยได้
[อ้างอิง หลวงปู่สรวง (เทวดาเล่นดิน) พูดถึงภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่นานนี้...]

อัลเบิร์ต ไอสไตน์ กล่าวถึงพระพุทธศาสนาก่อนเสียชีวิต

อัลเบิร์ต ไอสไตน์ กล่าวถึงพระพุทธศาสนาก่อนเสียชีวิต

ถึงแม้อัลเบิร์ต ไอสไตน์ ได้จากโลกนี้ไปโดยที่เขายังไม่สามารถค้นพบตำตอบตามที่เขากำลังต้องการก็ตาม แต่ไอสไตล์ได้ทิ้งคำพูดที่เป็นปริศนาที่สำคัญมากให้กับมนุษยชาติ ในช่วงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของเขา อัลเบิร์ตได้เริ่มสงสัยแล้วว่า พระพุทธศาสนาอาจจะเป็นศาสนาที่ให้คำตอบต่อคำถามที่เขากำลังพยายามค้นหา ในช่วง 1 ปีก่อนที่เขาจะเสียชีวิตนั้น มหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน ได้ตีพิมพ์งานเขียนชิ้นหนึ่งของเขาชื่อเรื่อง " The Human Side " ซึ่งนักฟิสิกส์ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลผู้นี้ ได้กล่าวทิ้งท้ายให้เป็นปริศนาแห่งโลกอนาคตว่า

The religion of the future will be a cosmic religion. It should transcend personal God and avoid dogma and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense arising from the experience of all things natural and spiritual as a meaningful unity. Buddhism answers this description. If there is any religion that could cope with modern scientific needs it would be Buddhism. (Albert Einstein)

"ศาสนาในอนาคต จะต้องเป็นศาสนาสากล ศาสนานั้นควรอยู่เหนือพระเจ้าที่มีตัวตน และควรจะเว้นคำสอนแบบสิทธันต์ (คือเป็นแบบสำเร็จรูปที่ให้เชื่อตามเพียงอย่างเดียว) และแบบเทววิทยา(คือพึ่งเทวดาเป็นหลักใหญ่) ศาสนานั้นเมื่อครอบคลุมทั้งธรรมชาติและจิตใจ จึงควรมีรากฐานอยู่บนสามัญสำนึกทางศาสนาที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ต่อสิ่งทั้งปวง คือ ทั้งธรรมชาติและจิตใจอย่างเป็นหน่วยรวมที่มีความหมาย พระพุทธศาสนาตอบข้อกำหนดนี้ได้
....ถ้าจะมีศาสนาใดที่รับมือได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปัจจุบัน ศาสนานั้นก็ควรเป็นพระพุทธศาสนา"

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
นักฟิสิกส์ ชาวเยอรมัน ผู้เสนอทฤษฏีสัมพัทธภาพ

คำพูดของไอสไตล์นั้นมีความนัยที่สำคัญซ่อนอยู่และรอคอยการค้นพบ และทฤษฎีเอกภาพหรือทฤษฎีสรรพสิ่งที่ต้องการค้นหานั้น ที่จริงพระพุทธเจ้าได้ตอบให้เบ็ดเสร็จก่อนหน้านั้น 2500 ปี

มองโลก

เทคนิคมองโลกในแง่ดี

คนไทยสมัยนี้เครียดกันง่ายจัง วันๆ หนึ่งต้องพบกับความทุกข์ใจ ไม่สบายใจ กังวลใจ กันหลายๆ ครั้ง ไม่เหมือนกับคนไทยสมัยโบราณที่กว่าจะเกิดความเครียดขึ้นมาได้ โน่น..ต้องมีเสือบุกเข้ามากินวัว โจรบุกเข้ามาปล้น ถึงจะเกิดความเครียดกันทีหนึ่ง เรียกว่าวันๆ หนึ่งแทบจะไม่รู้จักความเครียดกันเลย ใบหน้าคนไทยสมัยก่อนจึงมีแต่รอยยิ้ม พวกฝรั่งซึ่งเป็นคนมาจากวัฒนธรรมอื่นมาเห็นเข้าพากันแปลกใจว่าทำไมคนไทยอารมณ์ดีกันจัง ก็เลยตั้งชื่อว่าให้ว่า "สยามเมืองยิ้ม"

นอกจากนี้คนไทยยังมีวิธีคิดที่ได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนา ให้รู้จักคิดปล่อยวาง คิดให้สบายใจ ในยามที่ต้องพบกับปัญหาหนักๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งปัจจุบันนี้ยังเหลือร่องรอยวิธีคิดเหล่านี้อยู่ในนิสัยคนไทยทั่วๆ ไปบ้าง แต่บางคนก็ลืมไปแล้ว หรือคนรุ่นใหม่อาจจะไม่รู้จัก วันนี้เครือข่ายฯจึงขอนำวิธีคิดเหล่านี้นำมาปรับปรุงแก้ไขให้มีความเป็นพุทธ และ ให้มีความทันสมัย เหมาะกับคนยุคปัจจุบันมากขึ้น นำเสนอเป็นเทคนิควิธีคิดมองโลกในแง่ดีสำหรับคนยุคไอที ดังต่อไปนี้


ยามพบอุปสรรคในการทำงาน

ไม่เป็นไร..เอาใหม่ : คำพูดนี้สำคัญมากครับ เอาไว้ใช้อุทาน เวลาท่านต้องประสบกับปัญหาความล้มเหลวในการทำงานหรือ เจอข้อผิดพลาดอะไรขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน หรือ เวลาเพื่อนร่วมงานทำงานผิดพลาด คำพูดนี้จะเป็นเครื่องปลอบใจและให้กำลังใจได้เป็นอย่างดี คำว่า "ไม่เป็นไร" เป็นคำที่ทำให้จิตใจปล่อยวางจากปัญหา ไม่ถูกบีบคั้นจากปัญหา คำว่า "เอาใหม่" เป็น คำพูดที่ปลุกคุณธรรมข้อ "วิริยะ" แปลว่า เพียรสู้งาน ปลุกใจให้เราคิดสู้ปัญหา ไม่ท้อถอย


ยามพบกับเหตุการณ์ร้ายที่ไม่พึงปรารถนา

โชคดีนะเนี่ย : ไม่ว่าคุณเจอะเจอกับความทุกข์กายทุกข์ใจอะไรในชีวิตประจำวัน ให้คิดเสียว่าสิ่งเลวร้ายที่เราต้องประสบทุกๆ ครั้ง มันไม่ได้ร้ายกาจจนถึงที่สุดแม้สักอย่างเดียว มันเป็นความ"โชคดี"ของเราจริงๆ ที่ไม่เจอหนักกว่านี้

ยกตัวอย่าง

เดินหัวชนเสาหัวปูด อุทานว่า "อูย ! ..โชคดีนะเรา หัวยังไม่แตก"
โดนตัดเงินเดือน พูดกับตัวเองว่า "เขาไม่ไล่เราออก ก็บุญแล้ว ถือว่ายังโชคดีนะเนี่ย"
ทำกาแฟร้อนๆ หกรดขากางเกง พูดกับตัวเองว่า "เหอ..ๆ โชคดี ที่มันไม่หกรดเป้ากางเกงเรา"


ยามมีปัญหากับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

เขายังดีนะ : เวลาคุณมีปัญหากับเพื่อนมนุษย์ เช่นเพื่อนร่วมงาน คนข้างบ้าน ฯลฯ เช่น บางคนอาจจะทำงานไม่ถูกใจ บางคนอาจจะทำอะไรผิดใจคุณ หรือ บางคนอาจจะมีเจตนาไม่ดีกับคุณ ให้คิดเช่นเดียวกันว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมันก็ยัง ไม่ได้ร้ายกาจถึงที่สุดกับคุณแต่อย่างใด มันยังมีแง่ดีๆ ให้เราคิดถึงเขาอยู่เสมอ

ยกตัวอย่าง

คนข้างบ้านนินทาเรา เราก็บอกกับตัวเองว่า โอ้... นี่เขายังดีนะที่ไม่ถึงกับมาดักทำร้ายเรา
มีคนมาขโมยปากกาที่โต๊ะทำงานเราไป เราก็คิดว่า เจ้าขโมยนี่ยังดี ที่ไม่ยกเครื่องคอมพ์เราไป
สาวหักอก เราก็คิดว่า เธอยังดีนะเนี่ย ที่ไม่ควงคู่แข่งมาเย้ยเราให้เจ็บใจหนักไปกว่านี้
เพื่อนร่วมงานเอาเปรียบ เราก็คิดว่า เขาก็ยังดีที่ไม่ใส่ร้ายป้ายสีเราข้างหลัง


เทคนิคคิดเมื่อเจอปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวัน

เอ๊ะ...! ตรงนี้เราได้อะไร : เป็นการตั้งคำถามเพื่อให้จิตตั้งแง่คิดเพื่อมุ่งหาความรู้ทันทีที่ได้พบกับปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวัน อาทิเช่น นาย ก. เดินตกท่อ ขาแข้งถลอก นาย ก. ทั้งๆ ที่เจ็บปวด กลับตั้งคำถามขึ้นมาในใจว่า เราเดินตกท่อตรงนี้ เราได้อะไร ! เท่านั้นเองคำตอบต่างๆ ก็พรั่งพรูออกมามากมาย อาทิเช่น

ก. เราได้ดูแลรักษาตัวเองอีกแล้วดีจัง ไม่ได้ดูแลตัวเองมานาน
ข. เราได้บทเรียนซาบซึ้งกับคำว่า "อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง"
(เคยเดินมาดีๆ ทุกวัน วันนี้ใครกันดันมาเปิดฝาท่อ)

ค. มันทำให้เราได้ไอเดียเกี่ยวการทาแถบสีสะท้อนแสงตรงขอบท่อ เพื่อคนจะได้สังเกตเห็นได้แต่ไกลๆ

วิธีคิดเช่นนี้จะทำให้เรารู้สึกเลยว่า ชีวิตนี้มีแต่ได้ ไม่มีเสีย คือ แม้ว่าเราจะพบกับสิ่งที่ไม่น่าพึงปรารถนาก็ตาม แต่ถ้าหากว่าเรารู้จักตั้งคำถามเช่นนี้เป็นนิสัย เราก็จะได้สิ่งที่ดีๆ มากมายจนบางครั้งเราอาจจะต้องนึกขอบคุณที่ได้เจอกับปัญหาบ่อยๆ เลยทีเดียว

ยังมีวิธีคิดมองโลกในแง่ดีอีกมากมายหลายวิธี ซึ่งเครือข่ายชาวพุทธกำลังค้นคว้าหาข้อมูลจากพระไตรปิฎก เพื่อประยุกต์เป็นวิธีคิดนำมาเสนอท่านโอกาสต่อไป อย่าลืมติดตามตอนที่ ๒ เร็วๆ นี้นะครับ สวัสดี

ต่อกลอน

การที่คนเรารู้จักให้อภัยนั้น ทำให้เราพบแต่ความสุข สุขเพราะใจเราไม่ถือโกรธ ไม่มีโทสะ โทสะเป็นเพลิงที่เผาผลาญจิตใจ ให้ใหม้ไปกับกาลเวลา ยิ่งอยู่นาน เพลิงโทสะก็ยิ่งใหม้นาน ถ้าดับเพลิงโทสะด้วยการ ให้อภัย ใจเราก็มีแต่ความสุข

ความสมบูรณ์ไม่อาจทำให้พบสุข ไม่เห็นทุกข์ไม่เห็นธรรม

เมื่อมีปัญหาจึงทำให้คิด เมื่อคิดจึงมีปัญญา

คิดด้วยความฟุ้งซ่าน มักจะตามมาด้วยปัญหา คิดด้วยความสงบ มักจะพบกับตัวปัญญา

กลอน

เมื่อเจ้าเกิดมาใช่จะมาแต่ตัวเปล่า กรรมของเจ้าตามมาด้วยช่วยส่งผล

ทั้งสุขทุกข์ชั่วดีมีทุกคน ทุกตัวตนย่อมมีกรรมชักนำไป

จงทำดีไว้เถิดจะเกิดสุข ไม่มีทุกข์เศร้าหมองจิตผ่องใส

ไปทุกที่มีกรรมตามเจ้าไป ทำอย่างไรจึงพ้นกรรมที่ตามมา

เจ้าเกิดมามีกรรมคอยตามเฝ้า เจ้าจะเอากรรมนั้นไปไว้ไหน

คุณความดีที่เจ้าทำนำเจ้าไป กายกับใจจะพ้นทุกข์สุขนิรันดร์

สวัสดีคับ

สวัสดีครับอาจารย์พรทิพย์
ทานข้าวยังครับ