29 มีนาคม 2553

สวัสดีครับอาจารย์พรทิพย์

สวัสดีจันทร์สิ้นเดือนมีนา ครับ

28 มีนาคม 2553

จะไปไหนดี

อยากจะไปนรกท่องให้ดีนะ ... เฉพาะนรกขุมใหญ่ ...

๑. พยายามฆ่าสัตว์เข้า
๒. ลักทรัพย์ ขโมยทรัพย์ ปล้นทรัพย์ แย่งชิงทรัพย์ คดโกงทรัพย์ใครเขามาทำบุญสุนทานกันเข้ากระเป๋าไว้บ้าง
๓. ไอ้เรื่องกาเมสุมิจฉาจาร เหมาะเมื่อไรว่าเมื่อนั้น ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องเลือกจะเป็นลูกใคร เมียใคร ขี้ข้าใคร คนรับใช้ใคร ลูกจ้างใคร ไม่เกี่ยว มีโอกาสจัดการเรื่อยไปแล้วผัวใครด้วยนะ
๔. เรื่องความจริงไม่ต้องพูดกัน โกหกมันดะ
๕. ยุยงส่งเสริมให้แตกร้าวกันเสีย มันสนุกดี มันทะเลาะกันได้ มันตีกันได้ มันฆ่ากันได้ เราสบายใจ
๖. เรื่องวาจาสุภาพอย่าไปพูดมัน พูดหยาบๆคายๆมึงมาพาโวย ด่าพ่อล่อแม่ใครก็ได้ตามอัธยาศัย
๗. เรื่องที่เป็นเรื่องอย่าพูด พูดมันแต่เรื่องที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อน
๘. ทรัพย์สินของใครมีอยู่ ถ้าชอบใจ ตั้งใจเลยว่าเราจะขโมยของเขา
๙. จองล้างจองผลาญ จ้องประหัตประหารมันเรื่อยไปไม่ว่าใคร
๑๐. คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีความหมาย เราไม่เชื่อ มาพูดอะไรกัน เรื่องสวรรค์เรื่องนรก เรื่องอะไรต่ออะไรไม่เห็นมีความหมาย เราไม่เชื่อ

เอาละ บำเพ็ญบารมี ๑๐ อย่าง อย่างนี้พอ พอที่จะลงนรกขุมใหญ่ได้แบบสบายๆพระยายมไม่รังเกียจ


ตานี้มานรกขุมเล็กอีก ๑๐ ขุม

เรียกกันว่ายมโลกียนรก ทำรับเฉพาะ เรียกว่ารับเฉพาะ ไม่ใช่นรกแป๊ะเจี๊ยะ ทำอย่างนี้อยู่ขุม ๑ ได้ ทำอย่างนี้อยู่ขุม ๒ ได้ เขาเรียกกันว่าอะไร จะพูดบารมีให้ฟัง เวลามันใกล้จะหมด

ถ้าอยากจะอยู่นรกขุมที่ ๑ ฆ่าสัตว์ให้หนัก
อยากจะอยู่นรกขุมที่ ๒ เจ้าชู้ให้หนัก
อยากจะอยู่นรกขุมที่ ๓ ลักขโมยให้หนัก คดโกงเขาให้หนัก
ขุมที่ ๔ ดื่มน้ำเมาให้หนัก
ขุมที่ ๕ โกงเงินทำบุญให้หนัก ทายกกับพระนี่ ระวังนะ ระวัง ถ้าชอบใจอยู่ขุมที่ ๕ สำหรับยมโลกียนรก โกงให้หนัก
๖ เป็นข้าราชการ โกงให้หนัก
๗ เรื่องซื่อตรงไม่มีสำหรับเขา
๘ เรื่องเมตตาปรานีไม่มีสำหรับเขา
๙ ด่าดะไม่เลือกว่าใคร
๑๐ ซ้อมคู่ครองให้หนัก

วันเกิดเหมือนวัน

จงสร้างความดีให้กับตนเอง และนี่ก็เป็นการใช้หนี้ตัวเอง อันตัวเรานั้นพ่อให้หัวใจ แม่ให้น้ำเลือดน้ำเหลืองอยู่ในตัวแล้ว จะไปแสวงหาพ่อที่ไหน จะไปแสวงหาแม่ที่ไหน บางคนรังเกียจแม่ ว่าแก่เฒ่าไม่สวยไม่งาม พอตัวเองแก่็ก็เลยถูกลูกหลานรังเกียจ จึงเป็นกงกำกงเกวียน ยืดเยื้อกันต่อไปอีก

พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก ไม่ต้องไปตามพระอรหันต์ีที่ไหนหรอก เหลียวดูพ่อแม่ในบ้านบ้างแล้วท่านจะรู้สึกว่าได้ทำดีตั้งแต่วันนี้แล้ว

อย่ายืนพูดกับพ่อแม่ อย่าบังอาจกับพ่อแม่ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เป็นครูอาจารย์ของลูก ก่อนออกจากบ้านจึงต้องกราบพ่อ แม่ 3 หนที่เท้า

ท่านโปรดจำไว้ว่า วันเกิดของลูก คือวันตายของแม่ เพราะวันที่ลูกเกิดนั้น แม่อาจต้องเสียชีวิต การออกศึกสงครามเป็นการเสี่ยงชีวิตสำหรับคนเป็นพ่อฉันใด การคลอดลูกก็เป็นการเสียงตายสำหรับแม่ฉันนั้น

ถ้าวันเกิดเลี้ยงเหล้า จดไว้ได้เลย จะอายุสั้นจะบั่นทอนอายุให้สั้น น่าจะสวดมนต์ไหว้พระปฏิบัติธรรมให้พ่อ แม่ วันเกิดของเรา คือวันตายของแม่เรา ไปกราบพ่อ กราบแม่ขอพรพ่อแม่รับรองพ่อแม่ให้พรลูกรวยทุกคน ไปเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ให้อิ่มค่อยไปเลี้ยงเพื่อน ๆ

วันเกิดของเรา อย่าพาเพื่อนมาให้พ่อแม่ทำครัวเลี้ยงนะ จะบาปทำมาหากินไม่ขึ้น ควรที่จะต้องเลี้ยงพ่อแม่ให้อิ่มก่อนจีงค่อยเลี้ยงเพื่อนทีหลัง

ผู้ใดที่คุณพ่อ คุณแม่ล่วงลับไปแล้ว ก็ให้หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน และถ้าจะทำบุญด้วยการเจริญกรรมฐาน แล้วอุทิศส่วนกุศลไป การทำเช่นนี้ถือว่าได้บุญมากที่สุดทั้งฝ่ายผู้ให้และผู้รับ

ผู้ใดก็ตามที่คุณพ่อคุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ให้กลับไปกราบขอพรจากท่าน จะได้มั่งมีศรีสุข ส่วนคนที่เคยทำไม่ดีไว้กับพ่อแม่ ให้นำเทียนแพไปกราบขอ อโหสิกรรม ล้างเท้าให้ท่านด้วย เป็นการขอขมาลาโทษ

ขอฝากท่านไว้ไปสอนลูกหลาน อย่าคิดไม่ดีกับพ่อแม่ ไม่ต้องถึงไปฆ่าหรอก แค่คิดว่าพ่อแม่เราไม่ดีจะทำมาหากินไม่ขึ้น เจ๊ง ท่านต้องแก้ปัญหาก่อน คือถอนคำพูด ไปขอสมาลาโทษเสีย แล้วมาเจริญกรรมฐาน รับรองสำเร็จแน่ มรรคผลเกิดแน่

คนที่มีบุญวาสนา จะกตัญญูกับพ่อแม่ คนเถียงพ่อเถียงแม่เอาดีไม่ได้…คนไม่พูดกับพ่อแม่นั่งกรรมฐานร้อยปี ก็ไม่ได้อะไร ถ้าไม่ขออโหสิกรรม

ขออโหสิกรรมที่คิดไม่ดีกับพ่อแม่ คิดไม่ดีกับครู บาอาจารย์ คิดไม่ดีกับพี่ๆ น้อง ๆ จะไม่เอาอีกแล้ว เอาน้ำไปขันหนึ่ง เอาดอกมะลิโรย กายกัมมัง วจีกัมมัง มโนกัมมัง โยโทโส อันว่า โทษทัณฑ์ใด ความผิดอันใด ที่ข้าพเจ้าพลั้งเผลอสติไป ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง ขอให้คุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่ คัณย่า คุณตา คุณยาย คุณพี่ คุณน้อง อโหสิกรรมให้ด้วย แล้วเอาน้ำรดมือ รดเท้าฯ

ที่มาข้อมูล : พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมโม) วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี

หนังสือก็ไม่ได้อ่าน

จะสอบอีกแล้วครับ

สวัสดีครับอาจารย์พรทิพย์

สวัสดีครับอาจารย์นิเทศ
เมื่อไหร่พวก... จะหยุดสักที
ตอนนี้ไม่มีเวลาเป็นส่วนตัวเลย
ต้องเข้ากรม ทุกวันไม่เว้นวันหยุด

20 มีนาคม 2553

ต่อ น้ำ

. คุณสมบัติของการต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ขึ้นอยู่กับอายุของไฮดรอกซีลอิออน (Hydroxyl Ion) ซึ่งจะอยู่ในน้ำได้ไม่เกิน 18 - 24 ชั่วโมง

2. ความเป็นด่าง (Alkaline Property) ซึ่งวัดโดยค่า pH ระดับที่ต้องการควรสูงเกินกว่า H 7.4 จะอยู่ได้นาน 1 - 2 สัปดาห์

3. การมีโครงสร้างขนาดเล็ก (Micro Cluster หรือ Structured Water) คือ โมเลกุลของน้ำ 6 โมเลกุลต่อ 1 กลุ่ม (Cluster) จะอยู่ได้นานประมาณ 1 - 3 เดือน

การที่อายุของแต่ละคุณสมบัติมีช่วงเวลายาวสั้นไม่เท่ากันจะขึ้นอยู่กับสภาพของสิ่งแวดล้อม ถ้าเก็บน้ำไว้ที่อุณหภูมิห้อง ก็จะมีอายุการเก็บรักษาประมาณ 2 ปี หากเก็บในตู้เย็น หรือแช่แข็ง และเก็บในขวดที่เป็นแก้วปิดสนิท จะมีประสิทธิภาพอยู่ได้นานไม่จำกัดการที่น้ำมีฤทธิ์เป็นด่างเพราะเกิดจากแร่ธาตุแคลเซียมไบคาร์บอเนต (Calcium Bicarbonate) แต่ขวดที่เป็นพลาสติกจะยอมให้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ( Co2 ) ซึมผ่านเข้าไป และทำปฏิกิริยากับแคลเซียมไบคาร์บอเนตซึ่งละลายอยู่ในน้ำเกิดเป็นแคลเซียมคาร์บอเนตร ( CaCo2 ) ซึ่งไม่ละลายน้ำ จึงตกเป็นตะกอนและความเป็นด่างจะลดลง ขวดที่เป็นแก้วจึงเก็บน้ำให้คงมีประสิทธิภาพได้นานกว่าขวดพลาสติก


การเก็บรักษาน้ำโมเลกุล 6 เหลี่ยม

1.เป็นการดีกว่าหากจะเก็บน้ำโมเลกุลหกเหลี่ยมไว้ในตู้เย็น สภาพน้ำโมเลกุลหกเหลี่ยมจะไม่เปลี่ยนแปลง หากเก็บรักษาในระยะเวลานา


2.สามารถเก็บไว้ในภาชนะชนิดใดก็ได้ ยกเว้นอลูมินัม

3.สามารถเติมเครื่องดื่มอื่นๆ ผสมในน้ำโมเลกุลหกเหลี่ยม เช่น วิตามินซี น้ำผึ้ง ขิงเข้มข้น นมผง น้ำมะนาว ชาเขียว ฯลฯ

หลักการทำงานของผลิตภัณฑ์ปรับโครงสร้างน้ำโมเลกุลหกเหลี่ยม "แอคทิโม โกลด์"

ผลิตภัณฑ์ปรับโครงสร้างน้ำโมเลกุล 6 เหลี่ยม



ผลิตภัณฑ์ปรับโครงสร้างน้ำโมเลกุลหกเหลี่ยม "แอคทิโม โกลด์" นับเป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ที่ได้รับการออกแบบมา เพื่อปรับโครงสร้างน้ำให้เป็นน้ำโมเลกุลหกเหลี่ยม (Hexagonal Water) โดยใช้พลังงานจากคลื่นแม่เหล็ก และรังสีอินฟราเรดชนิดคลื่นความถี่ไกล (Far Infared Ray) นอกจากนี้ยังช่วยปรับเปลี่ยนค่าความเป็นกรด–ด่างของน้ำ เพิ่มปริมาณแร่ธาตุ และเพิ่มระดับออกซิเจนในน้ำเพื่อให้น้ำมีคุณภาพเหมือนน้ำบริสุทธิ์จากธรรมชาติอีกด้วย พลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า จะทำให้แม่เหล็กภายใต้ฐานเครื่องหมุนตัวและก่อให้เกิดสนามแม่เหล็กแรงสูงที่ 3,500 เก๊าส์ (Gausses) ใบพัดที่อยู่ภายในเหยือกจะหมุนปั่นน้ำให้วิ่งวนเป็นเกลียวไซโคลนผ่านสนามแม่เหล็ก และน้ำจะหมุนวนทะลุผ่านกล่องแร่ธาตุ (Super Cube) ซึ่งภายในบรรจุหินซันแมค (Sunmac Stone) อันประกอบด้วย อิออนและแร่ธาตุบริสุทธิ์ที่ จำเป็น 18 ชนิด เช่น แคลเซียม โปแตสเซียม สังกะสี เหล็ก เป็นต้น และเมื่อร่วมกับขบวนการเพิ่มปริมาณออกซิเจนในน้ำ จะเป็นการปรับโครงสร้างน้ำให้ยึดเกาะกันหกโมเลกุลในรูปแบบหกเหลี่ยม (Hexagonal Water) ภายในระยะเวลา 7 หรือ 9 นาที

หลักการทำงานของผลิตภัณฑ์ปรับโครงสร้างน้ำโมเลกุลหกเหลี่ยม "แอคทิโม โกลด์"

แรงหมุนไซโคลน (Cyclone Rotation)
พลังของแรงหมุนน้ำไซโคลน ซึ่งสร้างแรงกดอากาศต่ำตรงกลางทำให้เกิดพลังงานชีวภาพ (Bio – Energy) ในการที่จะปรับโครงสร้างของกลุ่มน้ำ(Water Cluster) น้ำจะหมุนตัดผ่านแรงดึงดูดของคลื่นกระแสแม่เหล็กไฟฟ้าเพื่อสร้างพลังงานในการทำให้โมเลกุลของน้ำแตกตัวและจัดรูปแบบให้จับตัวเป็นน้ำโมเลกุลหกเหลี่ยม (Hexagonal Water)
กล่องแร่ธาตุ (Super Cube)

ให้แร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย 18 ชนิด ได้แก่ แคลเซียม ลิเธียมโปแตสเซียม แมกนีเซียม ซิลิกอน เจอร์มาเนียม เหล็กออกไซด์ ไดโปแตสเซียมออกไซด์ ไดโซเดียมออกไซด์ ไททาเนียมไดออกไซด์ แมงกานีสไดออกไซด์ ฟอสฟอรัสออกไซด์ คอปเปอร์อิออน แบเรียมแคลเซียมอิออน ซิงค์อิออน แมกนีเซียมอิออน ซิลิเนียม และอิออนภายในกล่องแร่ธาตุ (Super Cube) จะบรรจุหินซันแมค (Sunmac Stone) ซึ่งเป็นหินบริสุทธิ์จากธรรมชาติ โดยนำมาจาก เขาโอกินาวาในประเทศญี่ปุ่นที่ปราศจากมลภาวะ และอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 300 - 600 เมตร มีธาตุเจอร์มาเนียมซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แร่ธาตุต่างๆ ในกล่องแร่ธาตุ จะเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างโมเลกุลของน้ำและช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในน้ำ แร่ธาตุจะช่วยปรับค่าความเป็นกรด - ด่างของน้ำ ให้เป็นด่างอ่อนๆ ซึ่งเป็นค่าที่ใกล้เคียงกับน้ำที่พบในร่างกายมนุษย์
สนามแม่เหล็ก (Magnetic Field)

คลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่ 3,500 เก๊าส์ (Gausses) ทำหน้าที่ในการช่วยปรับโครงสร้างโมเลกุลของน้ำให้อยู่ในรูปหกเหลี่ยมโดยทำให้อิออนในน้ำที่ได้จากการไหลผ่านกล่องแร่ธาตุ (Super Cube) จับตัวเป็นน้ำโมเลกุลหกเหลี่ยม (Hexagonal Water) พลังแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังสูงจะช่วยในการปรับสมดุลของแร่ธาตุที่ละลายในน้ำให้มีค่าที่พอเหมาะ

ทำไมร่างกายต้องการน้ำโมเลกุล 6 เหลี่ยม

ทำไมร่างกายต้องการน้ำโมเลกุล 6 เหลี่ยม
อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของคนเราประกอบไปด้วยเซลล์และของเหลวในร่างกายก็เป็นสิ่งแวดล้อมของเซลล์ต่างๆ ไม่นานมานี้ จากการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์บ่งชี้ได้ว่าของเหลวภายในและภายนอกรายรอบเซลล์ที่มีสุขภาพดีคือ โมเลกุลของน้ำ ที่มีโครงสร้างหกเหลี่ยมน้ำจะชำระล้างของเสียที่สั่งสมมานานออกไปจากร่างกาย และช่วยสร้างความชุ่มชื้นส่งผลให้เกิดควายืดหยุ่นกับเซลล์ในร่างกายพูดง่ายๆ ก็คือ น้ำโมเลกุลหกเหลี่ยม (Hexagonal Water) ก็คือน้ำที่ช่วยสร้างสรรค์และส่งเสริมทุกชีวิตที่ก่อกำเนิดบนโลกใบนี้ตั้งแต่เริ่มแรกเลยทีเดียว และเป็นน้ำเชิงวิทยาศาสตร์ที่มีคุณสมบัติตามที่ร่างกายต้องการเทียบเท่ากับน้ำตามธรรมชาตินั่นเอง การดื่มน้ำ โมเลกุลหกเหลี่ยมซึ่งเป็นน้ำที่มีสภาพเหมือนของเหลวในร่างกายอย่างเพียงพอและต่อเนื่องทุกวัน ผิวพรรณ และเซลล์ก็จะได้รับประโยชน์ของเสียก็จะถูกขับถ่ายออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ สภาพแวดล้อมรอบเซลล์ก็จะมีสภาพดีที่ส่งเสริมให้เซลล์สามารถดำรงรักษาการมีสุขภาพดี ซึ่งจะช่วยป้องกันและลดผลกระทบที่เกิดจากภาวะความเสื่อมต่าง ๆ ได้

ศาสตราจารย์ ดร.มู ชิค จอน (Prof. Dr. Mu Shik Jhon) ใช้การวิจัยค้นคว้าอย่างลึกซึ้งของเขาเกี่ยวกับน้ำโมเลกุลหกเหลี่ยมด้วยการใช้ความสั่นสะเทือนของพลังแม่เหล็กนิวเคลียร์ (Nuclear Magnetic Resource : NMR) ซึ่งมีความสามารถในการวัดขนาดของโมเลกุล และนำมาใช้งานเพื่อตัดสินโครงสร้างของน้ำภายในร่างกายดร.จอน บ่งชี้ว่า "เซลล์ที่ถูกล้อมรอบด้วยน้ำที่มีโครงสร้างเป็นระบบระเบียบน้อยกว่าจะอ่อนแอกว่า และมีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดการทำงานผิดพลาด รวมทั้งการเกิดสารพันธุกรรมที่เปลี่ยนรูปไปจากเดิมได้มากกว่า"

NMR จะวัดสิ่งนี้เสมือนความกว้างของเส้นรอบวงเพื่อเปรียบเทียบขนาดโครงสร้างโมเลกุล นั่นคือยิ่งเส้นรอบวงมีความกว้างมากเพียงใด โมเลกุลก็จะมีขนาดใหญ่มากเพียงนั้น จากข้อมูลที่ตีพิมพ์ในหนังสือเล่มล่าสุดของท่าน ชื่อปริศนาของน้ำและกุญแจของการเป็นรูปหกเหลี่ยม กล่าวว่า น้ำประปาปกติสามารถมีขนาดเส้นรอบวงกว้างเท่าใดก็ได้ ตั้งแต่ 100-150 Hz ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะที่ไม่เป็นระบบระเบียบของน้ำ และขนาดกลุ่มน้ำตั้งแต่ 12 – 13 โมเลกุลต่อกลุ่ม ในทางตรงกันข้าม น้ำโมเลกุลหกเหลี่ยมมีความกว้างของเส้นรอบวงที่วัดได้
ระหว่าง 60-70 Hz พึงระลึกว่ายิ่งมีขนาดเส้นรอบวงเท่าใด กลุ่มน้ำก็จะยิ่งมีขนาดเล็กขึ้นเท่านั้น และก็ยิ่งเพิ่มโอกาสในการแทรกซึมเข้าสู่เนื้อเยื่อของเซลล์ จึงกลายเป็นส่วนของน้ำภายในเซลล์ (intra-cellular water

คุณสมบัติของน้ำโมเลกุลหกเหลี่ยม (Hexagonal Water)

คุณสมบัติของน้ำโมเลกุลหกเหลี่ยม (Hexagonal Water)


1. สามารถผ่านผนังเซลล์ได้ง่าย
การมีโครงสร้างเป็นกลุ่มขนาดเล็กจำนวน 6 โมเลกุลต่อ 1 กลุ่ม และโมเลกุลของน้ำหันมาเรียงตัวกันอย่างมีระเบียบทำให้มันผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane) ทั้งเข้าไปและออกมาตามอวัยวะต่างๆ ของมนุษย์และสัตว์ รวมทั้งผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Wall) ของพืชได้ง่าย และรวดเร็ว เมื่อเข้าไปสู่เซลล์ จะสามารถนำพาสารอาหาร เอ็นไซม์ แร่ธาตุต่างๆ รวมทั้งออกซิเจนเข้าไปในเซลล์เพื่อนำไปใช้ได้ง่ายเมื่อออกมาจากเซลล์ ก็จะพาเอาสารพิษสารตกค้าง และของเสียจากกระบวนการเผาผลาญอาหาร (Metabolism) ออกมาจากเซลล์ได้อย่างสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นผลก็คือ เซลล์สดใส มีสุขภาพดี และชลอการเสื่อมคุณภาพลงได้ การเข้า-ออกเซลล์ได้อย่างว่องไวนี้ ยังทำให้น้ำชนิดนี้แก้กระหายได้เร็วมาก
2. มีแรงตึงผิวต่ำจึงสามารถทำละลายได้ดี
การที่น้ำโมเลกุลหกเหลี่ยมมีแรงตึงผิวต่ำจึงสามารถทำละลายได้ดีทั้งแร่ธาตุ ออกซิเจน
วิตามิน และนำพาสารอาหารเหล่านี้เข้าไปยังเซลล์ได้มากขึ้น และพอเพียง ขณะเดียวกันของเสียในเซลล์ก็สามารถละลายได้ง่ายในน้ำนี้เช่นกัน ดังนั้นจึงถูกนำพาออกมากำจัดนอกเซลล์และถูกนำออกจากร่างกายได้โดยสะดวก เซลล์จึงแข็งแรงและมีภูมิต้านทานที่ดีขึ้น
3. มีปริมาณออกซิเจนสูง
น้ำโมเลกุลหกเหลี่ยมซึ่งมีปริมาณออกซิเจนสูง จะส่งผลให้เซลล์ในร่างกายได้รับออกซิเจนเพื่อขบวนการสร้างพลังงานได้เร็วและมากขึ้น เนื่องจากออกซิเจนนี้เป็นองค์ประกอบของระบบเผาผลาญพลังงาน (Metabolism) ของร่างกาย จึงช่วยให้พลังงานกับเซลล์ และทำให้เซลล์แข็งแรงออกซิเจนยังช่วยทำให้เชื้อจุลินทรีย์อันตรายประเภทไม่ชอบอากาศ (Anaerobic Bacteria) หยุดการเจริญเติบโตในที่ที่มีออกซิเจนจากผลการวิจัยของ ดร. อ็อตโต วอร์เบิร์ก(Dr. Otto Warburg) ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ใน ค.ศ. 1931 ที่พบว่าโรคมะเร็งชอบอยู่ในที่ที่ไม่มีออกซิเจน ดังนั้น ถ้าอวัยวะต่างๆ ได้รับออกซิเจนอย่างสมบูรณ์ ตามทฤษฎี โรคมะเร็งก็ไม่ควรเจริญงอกงามที่อวัยวะนั้นๆ
4. มีคุณสมบัติเป็นด่างอ่อนๆ (pH 7.5-8.0)
ร่างกายมนุษย์ (ยกเว้นกระเพาะอาหารและไต) จะมีค่าเป็นด่าง (pH7.4) น้ำโครงสร้างโมเลกุล6เหลี่ยมมีค่าเป็นด่างมากกว่า pH 7.4 จึงช่วยเจือจางของเสียที่มีฤทธิ์เป็นกรดภายในเซลล์ของอวัยวะต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยปรับสภาพความสมดุลของการมีกรดมากเกินไปในร่างกาย การเผาผลาญพลังงานทุกชนิดและทุกครั้งจะก่อให้เกิดของเสียที่เป็นกรดสะสม การมีสภาวะกรดสูงในเลือดถ้าไม่มีน้ำดื่มที่เป็นด่างมาช่วยทำปฏิกิริยาต่อต้าน (Buffer) เอาไว้ก็จะทำให้ร่างกายจำเป็นต้องไปดึงเอาแร่ธาตุ แคลเซียม และแมกนีเซียมออกมาจากเนื้อของกระดูก ฟัน และกล้ามเนื้อเพื่อมาเจือจางความเป็นกรดในร่างกาย
5. ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant)
เกิดจากออกซิเจนอิออน (O-) ให้อิเล็กตรอนประจุลบ ซึ่งไปหยุดวงจรของการเกิดอนุมูลอิสระ (Free Radical Cycle) ซึ่งเป็นตัวทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ และความเสื่อมต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคข้ออักเสบ โรคเบาหวาน เป็นต้น

กระบวนการที่น้ำโมเลกุลหกเหลี่ยมมีออกซิเจนสูง และหยุดวงจรอนุมูลอิสระ


เกิดจากการแตกตัวเป็นอิออน (lon) ของโมเลกุลน้ำ การแตกตัวเป็นอิออน คือ การแยกออกไปหรือเพิ่มเข้ามาของอิเล็คตรอน (Electron) เมื่อโมเลกุลน้ำ (H2O) ถูกกระเทือนด้วยความถี่ของคลื่นแม่เหล็ก จะทำให้โมเลกุลของน้ำจำนวนหนึ่งแตกตัวเป็นอิออน ซึ่งได้แก่ ไฮโดรเจนอิออน (H+) ประจุบวกับไฮโดรเจนอิออน (H-) ประจุลบ
H2O ---> H+ +
ไฮดรอกซิลอิออน (บางส่วนจะไปรวมตัวกับแร่ธาตุ เช่นแคลเซียม กลายเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นด่าง ทำให้มีค่า pH ประมาณ 7.6 – 8.5 ไฮดรอกซิลอิออน นี้ถ้า 2 ตัวรวมกันจะเกิดเป็นน้ำ (H2O) อีกครั้ง กับออกซิเจนอิออน (O)
OH- + OH- ---> H2O + O-
ออกซิเจน (O) นี้ จะมีอิเล็คตรอนประจุลบ ซึ่งทำหน้าที่หยุดวงจรอนุมูลอิสระ นั่นคือการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และในบางครั้งออกซิเจนอิออน (O) นี้ จะรวมกันเองกลายเป็นก๊าซออกซิเจน (O2) ละลายอยู่ในน้ำ

น้ำ ต่อ

. ปราศจากสารปนเปื้อนทางเคมี และสารอินทรีย์ต่าง ๆ อาทิ เชื้อจุลินทรีย์ โลหะหนัก สารเคมี ฯลฯ

2. ประกอบด้วยแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย อาทิ โปแตสเซียม แมกมีเซียม แคลเซียม เป็นต้น การที่น้ำมีแร่ธาตุละลายอยู่มากจะช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว นอนหลับ สดใส กระปรี้ กระเปร่า ลดคลอเลสเตอรอลและจิตใจสงบผ่อนคลาย

3. มีโครงสร้างโมเลกุลขนาดเล็ก ทำให้แทรกซึมสู่เซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำพาสาร อาหาร และออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างทั่วถึง และนำพาของเสีย ออกมาจากเซลล์ไปทิ้งได้

4. มีความกระด้างของน้ำปานกลาง มีประจุไฟฟ้าสูงและเป็นสื่อนำความร้อนที่ดี

5. มีความเป็นด่างอ่อน ๆ โดยมีค่าความเป็นกรด - ด่างระหว่าง pH 7.25 - 8.50 เพื่อช่วยกำจัดความ เป็นกรด และของเสียในร่างกาย ทำให้ร่างกายมีภาวะที่สมดุล

6. มีปริมาณออกซิเจนเจือปนอยู่ด้วยสูง วัดค่าได้ประมาณ 5 มิลลิกรัม ต่อลิตรหรือมากกว่า


ลักษณะของน้ำดื่มที่ควรหลีกเลี่ยง





1.น้ำอ่อน คือน้ำที่ไม่มีแร่ธาตุและมีส่วนเกี่ยวพันกับการเกิดโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง

2.น้ำกลั่น ซึ่งไม่มีแร่ธาตุที่มีประโยชน์ละลายอยู่เลยเป็นผลให้ร่างกายต้องดึงแร่ธาตุที่จำเป็น เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม และเกลือแร่อื่น ๆ ออกมาใช้ จึงอาจทำให้ร่างกายขาดแร่ธาตุเหล่านี้ ก่อให้เกิด โรคหัวใจ และหลอดเลือดจนเป็นอันตรายถึงชีวิต

3.น้ำดื่มบรรจุขวด ที่มีสารปนเปื้อนและไม่ได้มาตรฐานแม้จะดูใส และปลอดภัยกว่าน้ำประปา แต่ 25 % ของน้ำดื่มบรรจุขวดเป็นเพียงการนำน้ำประปามาใส่ขวด และปรับปรุงคุณภาพเล็กน้อยเท่านั้น

4.น้ำประปามีคลอรีนซึ่งช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียแต่จะก่อให้เกิดสารพิษชื่อไตฮาโลมีเทน (Trihalomethanes-THM) เกิดจากคลอรีนทำปฏิกิริยากับสารอินทรีย์ในธรรมชาติซึ่งละลายอยู่ในน้ำ ก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โลหิตจาง มะเร็งลำไส้ใหญ่ สมองเสื่อม เป็นต้น

5.น้ำอัดลม ทำมาจากน้ำกลั่นหรือน้ำอ่อนที่ไม่มีแร่ธาตุ ทำให้ร่างกายต้องสูญเสียแร่ธาตุและดึงแร่ธาตุที่ จำเป็นออกมาใช้ อาทิแคลเซียมและแร่ธาตุเหล่านี้จะสูญเสียออกจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะ และอื่น ๆ ซึ่งการสูญเสียแร่ธาตุจากร่างกายเหล่านี้ จะส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ ต่อมา เช่น กระดูกพรุน ข้ออักเสบ ความ เสื่อมต่าง ๆ แก่ก่อนวัย เป็นต้น

6.น้ำหวาน / น้ำผลไม้สำเร็จรูป เป็นเพียงน้ำตาลกับสีผสมน้ำ โดยแต่งกลิ่นธรรมชาติเข้าไปและอาจเติมวิตามินหรือแร่ธาตุปะปนอยู่บ้าง แต่จะก่อให้เกิดผลร้ายมากกว่าผลดีกับร่างกายในระยะยาว

ค่า PH น้ำ

น้ำดื่มที่ดีที่สุดควรมีค่า pH ประมาณ 8.5 เพราะการดำเนินชีวิตของคนเรามักจะก่อให้เกิดภาวะที่เป็นกรดได้ง่าย น้ำดี่มที่ดีจึงควรมีฤทธิ์ที่เป็นด่างมากกว่าเลือดซึ่งมีค่า pH 7.4 เพื่อสร้างสมดุลและทำให้เลือดกลับมามีค่า pH ที่เหมาะสมเช่นเดิม

pH = Potential Hydrogen หรือ Power of Hydrogen เป็นค่าที่ใช้แสดงค่าความเป็นกรด-ด่างของน้ำ ความเป็นกรดในร่างกายเป็นอันตรายต่อสุขภาพและนักเคมีได้ให้สมญาว่าเป็น " เพชฌฆาตเงียบ " ซึ่งสามารถทำลายสุขภาพและทำให้ตายอย่างเงียบ ๆ ได้จากภาวะความเป็นกรด - ด่างที่ไม่สมดุลในร่างกาย โดยปกติเลือดของคนเรามีค่า pH ที่ 7.4 (7.35 - 7.45) มีภาวะเป็นต่างอ่อน ๆ ถ้าเลือดเป็นกรด (ต่ำกว่า 7) อาจหมดสติและถึงตายได้ ก่อให้เกิดโรคนิ่วในไต ต่อมลูกหมากโต อาหารไม่ย่อย อ่อนเพลีย ฯลฯ

น้ำ

"น้ำ" หมายถึง ของเหลวชนิดหนึ่งซึ่งเกิดจากไฮโดรเจน (Hydrogen) 2 อะตอม รวมก๊าซออกซิเจน (Oxygen) 1 อะตอม สามารถมีสภาพในรูปของเหลว ของแข็ง (ก้อนน้ำแข็ง) และก๊าซ (ไอน้ำ) ดังนั้น โครงสร้างของน้ำที่ประกอบด้วยไฮโดรเจน (Hydrogen) 2 อะตอม รวมกับออกซิเจน (Oxygen) 1 อะตอม จึงสามารถเขียนในรูปสูตรทางเคมีว่า "H2O"


น้ำที่เราดื่มหรือที่พบเห็น หมายถึง โมเลกุลของน้ำ (H2O) ที่จับตัวกันเป็นกลุ่ม ภายใต้พันธะไฮโดรเจนของแต่ละโมเลกุลโดยกลุ่มน้ำ (Water Cluster) จะมีจำนวนโมเลกุลที่จับตัวกันแตกต่างกันไปตามคุณภาพของน้ำ กล่าวคือ "น้ำที่มีการจับตัวเป็นกลุ่มใหญ่จะมีคุณภาพที่ต่ำกว่าน้ำที่มีการจับตัวเป็นกลุ่มเล็ก เพราะมี ความสามารถในการละลายสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและการนำพาออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ได้น้อยกว่า"

น้ำมีค่า

1. น้ำ เป็นตัวนำพาสารอาหาร

สารอาหารชนิดใดก็ตามที่เรารับประทานเข้าไปจะสามารถทำละลายได้ต้องมีน้ำเป็นตัวกลาง
จากนั้นสารอาหารจะถูกลำเลียงส่งดูดซึม เพื่อนำไปสร้างพลังงานให้กับเซลล์ที่อยู่ภายในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และน้ำอีกเช่นกันที่ทำหน้าที่ลำเลียงของเสียซึ่งถูกกำจัดออกจากร่างกาย

2. น้ำ เป็นตัวลำเลียงภูมิต้านทานและสารต้านอนุมูลอิสระ

เนื่องจากเลือดมีองค์ประกอบเป็นน้ำถึง 92 % ดังนั้นเลือดก็คือ น้ำนั่นเอง ดังนั้นน้ำจึงช่วย
นำพาภูมิต้านทาน(Antibodies) และสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) ไปยังอวัยวะต่าง ๆ เพื่อ
ทำลายสิ่งแปลกปลอม แต่ถ้าน้ำมีการปนเปื้อนหรือมีคุณสมบัติเป็นกรดภูมิต้านทานก็จะไม่เข้ม
แข็งไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรค สารพิษหรือสิ่งแปลกปลอมได้ ร่างกายต้องพ่ายแพ้ ทำให้เกิดโรค รวมทั้งความแก่ชราก็จะเริ่มปรากฏให้เห็นก่อนวัยอันควรได้

3. น้ำ ช่วยควบคุมสมดุลของของเหลวและลดการสะสมของของเสียในร่างกาย

การขาดการพักผ่อนจะก่อให้เกิดความเหนื่อยล้าและร่างกายสูญเสียน้ำ ซึ่งส่งผลให้เกิดความ
ไม่สมดุลของของเหลวในร่างกาย นอกจากนั้น ความเครียดทางจิตใจ การรับประทานยามากเกิน
ไป การรับประทานอาหารสำเร็จรูป และการรับประทานอาหารมากเกินไป ฯลฯ ก็ยิ่งทำให้ร่างกาย
ต้องการน้ำมากยิ่งขึ้น หากไม่มีการเติมน้ำให้ร่างกายอย่างเหมาะสม ของเสียก็จะยิ่งตกค้างในร่าง
กาย และเกิดปัญหาใหญ่ซับซ้อนตามมาอย่างมากมายได้ การสะสมของเสียในร่างกายอย่างต่อ
เนื่องเป็นการเร่งให้เกิดกระบวนการแก่ชราได้เกิดเร็วขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

4. น้ำ ช่วยในระบบการหายใจ

ร่างกายต้องใช้น้ำเพื่อการหายใจ เมื่อเราหายใจเอาออกซิเจน ( O2 ) เข้าไปในปอด และ
ขับถ่ายคาร์บอนได-ออกไซด์ ( CO2 ) ออกจากปอด โดยลมหายใจออกจากปอดของเราจะต้องมีน้ำเพื่อช่วยความชุ่มชื้น

5. น้ำ ช่วยป้องกันไตวาย

ไตมีหน้าที่ขับถ่ายของเสีย เช่น กรดยูริค (Uric Acid) ยูเรีย (Urea) และกรดแลคติค (Lactic Acid) ซึ่งละลายได้ในน้ำ ดังนั้น ถ้าน้ำผ่านไตไม่พอเพียง ของเสียเหล่านี้จะไม่ถูกขับออกมาได้หมด เป็นผลให้ไตทำงานหนักเกินไป จนกระทั่งพิการหรือไตวายได้ น้ำยังช่วยป้องกันการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะได้อีกด้วย

6. น้ำ ช่วยหล่อลื่นข้อต่อต่าง ๆ

ปลายกระดูกที่ต่อกันเกิดเป็นข้อต่อ เช่น ข้อต่อกระดูกไขสันหลัง ถ้ามีน้ำไม่พอเพียงข้อต่อจะขยับได้ยาก ถ้าน้ำหล่อเลี้ยงข้อต่อพอเพียง ข้อต่อจะเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวกทำให้การเสียดสีกันมีน้อยมากและอันตรายจากการถลอกตรงกระดูกอ่อน (Abrasive Damage) จะไม่เกิด ดังนั้น จึงลดความเสี่ยงของอาการปวดข้อ

7. น้ำ เป็นส่วนประกอบของสมองในปริมาณมากรองจากเลือด

เนื้อสมองมีน้ำมากถึง 85 % การขาดน้ำจะทำให้ความสามารถทางสมองลดลง ความคิดอ่อนล้า และเกิดอาการเครียดทางจิตใจตามมา

8. น้ำ ให้ผลกับการลดน้ำหนัก

น้ำเป็นสารอาหารที่ไม่มีแคลอรี่ จึงมีบทบาทในการลดน้ำหนัก การดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยลดความอยากอาหารเมื่อรับประทานอาหารลดลง ทำให้ร่างกายต้องเผาผลาญไขมันที่เก็บไว้แทน


9. น้ำ ช่วยในระบบย่อยอาหารในทุกระดับ

ถ้าขาดน้ำ การย่อยในทางเดินอาหารจะไม่สมบูรณ์ เพราะน้ำและเอ็นไซม์จะทำงานได้ไม่ดี
ถ้าน้ำพอเพียง น้ำจะช่วยให้การแตกตัวทางอาหารดีขึ้นและสามารถซึมผ่านเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายอีกด้วย อาการท้องผูกส่วนมากเป็นเพราะคนขาดน้ำเรื้อรัง ถ้าเราดื่มน้ำเพิ่มและรับประทานอาหารที่กากใย อาการท้องผูกจะหมดไป มีการวิจัยพบว่า กระเพาะอาหารอักเสบ ลำไส้อักเสบและอาการท้องอืด ท้องเฟ้อจะทุเลาถ้าได้ดื่มน้ำมากขึ้น น้ำจะช่วยละลายสารพิษที่ตกค้างในลำไส้ใหญ่ออกมาพร้อมกับอุจจาระ มีผลทางอ้อมให้ริดสีดวงทวารทุเลาลงด้วย

10. น้ำ ช่วยในการเผาผลาญอาหาร

น้ำเป็นตัวกลางในทุกปฏิกิริยาเคมีในร่างกายและยังเป็นตัวทำละลายที่ดี จึงสามารถพาสารอาหาร ฮอร์โมน ออกซิเจน ฯลฯ ไปยังเซลล์ต่าง ๆ ผ่านทางเลือดและน้ำเหลือง ถ้าขาดน้ำ การเผาผลาญอาหารเพื่อเกิดพลังงานย่อมทำไม่ได้

11. น้ำ ช่วยสร้างสุขภาพที่ดี และชะลอความเหี่ยวย่นของผิวหนัง

เพราะร่างกายประกอบด้วยน้ำถึง 70 % ในเซลล์มีน้ำ 70 % และดีเอ็นเอ (DNA) เป็นตัวกำหนดต้นแบบของเซลล์เกิดใหม่โดยมีรหัสจำเพาะ) ก็มีน้ำเช่นกัน ถ้าร่างกายขาดน้ำ ปฏิกิริยาเคมีในร่างกายจะเสียสมดุลหากขาดน้ำเรื้อรังจะทำให้ผิวหนังแห้งเหี่ยวย่น ความต้านทานโรคต่ำ

สวัสดีเช้าวันเสาร์

สวัสดีเช้าวันเสาร์ ทีี ๒๐ มี.ค. ครับอาจารย์
มาเตรียมพร้อมที่ ออฟฟิต ครับ
ไม่ได้หยุดพัก ครับ ช่วงแดงอะลาวาทบ้านเมือง

19 มีนาคม 2553

เลือกให้ปลอดภัย

ภญ.วิมล อนันต์สกุลวัฒน์ เภสัชกรฝ่ายเภสัชกรรม โรงพยาบาลศิริราช ใจดีแนะกลเม็ดเคล็ดไม่ลับในการเลือกซื้อเครื่องสำอางว่า ก่อนอื่นต้องดูเลยว่าเป็นเครื่องสำอางเถื่อนหรือไม่ หากดูแล้วว่าไม่มีการรับรองจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ อย่าซื้อเด็ดขาด เนื่องจากเครื่องสำอางเถื่อนเหล่านี้จะผสมสารต้องห้ามที่มีพิษต่อร่างกาย


ถัด มาให้ดูวันหมดอายุ และเครื่องหมายรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบนบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ นั้นๆ จากนั้นก็มาดูส่วนผสม ซึ่งจะบอกได้ว่าในเครื่องสำอางที่เรากำลังจะควักเงินซื้อนั้น มีส่วนผสมที่เราแพ้หรือไม่ อีกส่วนที่ควรใส่ใจก็คือ ชื่อบริษัทผู้ผลิต ที่อยู่ หรือบริษัทผู้นำเข้า ในกรณีที่เกิดอันตรายจากเครื่องสำอางนั้น จะได้โทรไปสอบถามหรือร้องเรียนผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าได้


“สิ่ง ที่ขาดไม่ได้ที่ไม่ค่อยมีใครเห็นความสำคัญนักก็คือการอ่านฉลากวิธีใช้ ว่าควรใช้ในปริมาณเท่าใด กี่ครั้งต่อวัน ใช้ที่จุดไหนของร่างกาย เพื่อให้ใช้ได้ถูกต้อง ส่วนคนที่แพ้ง่ายแนะนำว่า ควรพยายามหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม ซึ่งเครื่องสำอางหลายยี่ห้อจากต่างประเทศ จะมีระบุชัดอยู่ในบรรจุภัณฑ์ว่า “Alcohol Free” แปลว่าในเครื่องสำอางชิ้นนั้นปราศจากแอลกอฮฮล์ แต่เครื่องสำอางที่ผลิตในประเทศไทยยังไม่ค่อยมีแจ้งแบบนี้”


ได้ แนะวิธีการทดสอบการแพ้เครื่องสำอางด้วยตัวเองง่ายๆ ว่า มีเครื่องสำอางหลายประเภทที่แม้จะเป็นยี่ห้อดี ยี่ห้อดัง มีตรารับรองมาตรฐาน แต่ดันไม่ถูกกับผิวของเราเสียนี่ เหตุผลก็เพราะเป็นที่ผิวของเราที่มีปฏิกิริยาไวต่อสารเคมีเป็นพิเศษนั่นเอง แต่ใครจะแพ้อะไรนั้น เป็นเรื่องของใครของมัน ต้องทดสอบด้วยตนเอง และเมื่อทราบว่าแพ้แล้วก็ต้องจำเอาไว้ว่าตัวเองแพ้อะไร คราวหน้าก่อนซื้อจะได้อ่านฉลากดูส่วนผสมให้มั่นใจเสียก่อนว่าไม่มีสารที่เรา แพ้ก่อนจะควักกระเป๋าซื้อมา


ส่วน ผู้ที่ผิวแพ้ง่ายหรือกลัวจะแพ้เครื่องสำอางที่อยากซื้อ เภสัชกรหญิงแห่ง รพ.ศิริราช ก็มีวิธีง่ายๆ ที่ทำได้ไม่ยากและเป็นวิธีที่ถูกต้องมาฝาก ก็คือให้ นำเครื่องสำอางที่ต้องการจะซื้อ มาป้าย ฉีด ยา หรือทา ลงบริเวณผิวเนื้ออ่อนๆ อย่างหลังใบหูหรือท้องแขน


“เคล็ด ลับอยู่ที่ใช่ว่าเทสต์ปุ๊บจะขึ้นปั๊บ เพราะอาการแพ้อย่างน้อยที่สุดจะต้องใช้เวลา 20 – 30 นาที ผิวหนังบริเวณนั้นจึงจะมีปฏิกิริยา เช่น เกิดรอยแดง ผื่น หรือรู้สึกระคายเคืองดังนั้นหากจะเทสต์จริงๆ ไปขอเทสต์ก่อน จากนั้นไปเดินดูของอื่นๆ จนจะกลับ หากผิวไม่แพ้จึงค่อยกลับไปซื้อ ทิ้งระยะให้สารเคมีทำปฏิกิริยาสักนิดนะคะ” ภญ.วิมลทิ้งท้าย

กินเสริมดีหรือไม่

นพ.กฤษดา กล่าวว่า วิตามินซีชนิดเม็ดที่ขายกันอยู่มีทั้งวิตามินซีธรรมชาติ และสังเคราะห์ โดย ชนิดที่เป็นสารสัง เคราะห์ ประกอบด้วย กรดแอสคอบิก ผสมกับน้ำเชื่อมข้าวโพด หรือ คอร์นไซรัป มีการเติมสี แต่งกลิ่น แต่งรส ดังนั้นการกินวิตามินซีชนิดเม็ดจะได้ความหวานด้วย โดยเฉพาะที่เป็นชนิดแบบอมเล่น รสผลไม้ ทั้งหลาย

ถาม ว่าวิตามินซี ชนิดเม็ดให้คุณค่าเช่นเดียวกับผลไม้ที่มีวิตามินซีหรือไม่ ขอเรียนว่า ถ้าเป็นวิตามินซีธรรมชาติจะให้คุณค่าไม่ต่างจากผลไม้อุดมวิตามินซีทั่วไป แต่ถ้าเป็นวิตามินซีสังเคราะห์มีงานวิจัยบางชิ้นชี้ให้เห็นว่าอาจทำให้เกิด มะเร็งมากขึ้นในหนูทดลองและทำให้หลอดเลือดแข็งตีบในคนได้

โดยหลักในการเลือกซื้อวิตามินซีธรรมชาติไม่ให้ดูแค่คำว่า ธรรมชาติ หรือ Natural ข้างฉลากเท่านั้น หากแต่ต้องดูคำว่า ผลิตจากผักและผลไม้ในสภาวะที่เหมาะสม หรือ Made from fruits and vegetables below 70 degrees แทน

สำหรับ ความจำเป็นในการกินวิตามินซีชนิดเม็ด นพ.กฤษดา บอกว่า หากกินผักผลไม้ไม่ค่อยไหวก็อาจรับประทานได้บ้าง แต่ไม่ใช่ใช้แทน เพราะอย่างไรก็ดีวิตามินจะดูดซึมได้ดีต้องมีสารธรรมชาติบางชนิดในผลไม้นั้น ๆ ช่วยด้วย ดังนั้นสูตรสำเร็จสำหรับผู้รักที่จะกินวิตามินซีก็คือ กินอาหารเสริมบวกอาหารสดนั่นเอง

อาหาร ที่มีวิตามินซีมาก ได้แก่ ฝรั่งกลมสาลี่ มะขามเทศ มะขามป้อม มะละกอแขกดำ พุทรา แอปเปิ้ล และส้มโอขาวแตงกวา ซึ่งจะสังเกตได้ว่าความเปรี้ยวไม่ใช่ตัวบอกวิตามินซี เพราะจะเห็นว่าผลไม้เปรี้ยวจัดอย่างมะยมหรือลูกเสาวรสไม่ติดอันดับต้น ๆ เลย

นอก จากนี้อาหารธรรมชาติที่นึกไม่ถึงอีกชนิดที่มีวิตามินซีมาก คือ ปลาทะเลดิบ มีกรด แอสคอบิกมากเป็นพิเศษ จะเห็นได้ว่าชาวเอสกิโมนั้นแม้ไม่ค่อยได้บริโภคพืชผักผลไม้ ก็ยังไม่เป็นโรคขาดวิตามินซี

กินอย่างไรให้ผิวสวย

.ญ.กานต์ ชนก พานิช กรรมการผู้จัดการ กานต์ชนกคลินิก ให้ความรู้ถึงการรักษาผิวสวยของสาวๆ ทุกวัย ที่เกี่ยวข้องกับการกินอาหาร โดยเน้นสารกลูต้าไธโอนเป็นพิเศษ เพราะสารตัวนี้เป็นโฮโมนชนิดหนึ่งที่ตับเป็นผู้สร้าง มีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระ (แอนตี้ออกซิแดนต์) เซลล์ไม่ถูกทำลาย กลายเป็นเซลล์ที่แข็งแรง ส่งผลให้เซลล์ใต้ผิวหนังแข็งแรงตามไปด้วย ทำให้เม็ดสีลดลง ผิวจึงขาวขึ้น

แหล่งกลูต้าไธโอนมีอยู่ในสารสกัดจากธรรมชาติมากมาย ที่เด่นๆ คือ เปลือกสนฝรั่งเศส หากเป็นเปลือกสนสีส้มอ่อนจะมีคุณสมบัติในการแอนตี้ออกซิแดนต์ทำให้ขาวได้ เนื่องจากพืช ตระกูลเปลือกสนมีคุณสมบัติช่วยเปิดเส้นเลือดหัวใจ ช่วยทำลายพลักหรือคราบไขมันที่เกาะในเส้นเลือด ทำให้เส้นเลือดไม่ยืดหยุ่น เกิดภาวะการอุดตัน เส้นเลือดตีบลง ทำให้ส่งผ่านเลือดไปสู่หัวใจได้น้อยลง

กลูต้าไธโอนในธรรมชาติมีอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ในข้าวซ้อมมือของไทยเรานี่เอง กินข้าวซ้อมมือวันละ 3 มื้อ เราจะได้กลูต้าไธโอนธรรมชาติ ที่ร่างกายนำไปใช้ได้ทันที นอกจากนี้ยังพบในผัก ผลไม้ อาทิ แตงโม สตรอว์เบอร์รี่ องุ่น ผลอะโวคาโด สำหรับเนื้อสัตว์พบในปลา และเนื้อแดง เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว ฯลฯ

“You are what you eat” หรือ กินเช่นไรได้เช่นนั้น ยังคงเป็นประโยคที่หลายๆ คนเห็นด้วย หากรวมอาหารนี้ไว้ในมื้ออาหารที่เรารับประทาน ก็จะได้ผิวพรรณที่สวยสมบูรณ์แบบ

1. ส้ม อุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใสดูอ่อนวัย
2. มะนาว อุดมด้วยวิตามินซี ที่มีประโยชน์ ต่อผิว และยังช่วยทำความสะอาดตับซึ่งทำหน้าที่กำจัดของเสียออกจากร่างกายได้อีกด้วย
3. แครอต ให้คุณค่าเบต้าแคโรทีน ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ อาหารที่จำเป็นสำหรับผิว
4. กีวี ประกอบด้วยวิตามินซีที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างคอลลาเจน
5. อะโวคาโด อุดมไปด้วยวิตามินอีที่ช่วยบำรุงผิว การกินอะโวคาโดวันละผล ให้วิตามินอีเพียงพอกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวันได้
6. โยเกิร์ต ช่วยในการขับถ่าย ทำให้ผิวพรรณสดใส ไม่หมองคล้ำ
7. เมล็ดถั่วต่างๆ อุดมด้วยโปรตีน สารอาหารที่จำเป็นสำหรับผิวสวย
8. งา อุดมด้วยวิตามินบี สังกะสี และโพแทสเซียม ช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวดูสดใสอ่อนวัยอยู่เสมอ
9. ผักโขม อุดมด้วยธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งอมชมพูดูมีสุขภาพดี และ 10.ปลาอุดมไขมัน เช่น ปลาแซลมอน น้ำมันปลาช่วยให้ผิวพรรณเต่งตึง ไม่เหี่ยวย่น
… Continue Reading

ช่วงนี้ยุ่งมาก

สวัสดีครับอาจารย์
ช่วงนี้ไม่มีเวลาอัฟเดต

17 มีนาคม 2553

สวัสดีคับ

สวัสดีครับอาจารย์ พรทิพย์
ไม่รู้เมื่อไหร่ บรรดาอ้างเอาประชาธิปไตย
จะกลับดับหายไปจากประเทศ
ตอนนี้ยังอย่เตรียมพร้อมครับอาจารย์

14 มีนาคม 2553

ทองขาววววววว

ถ้าดูจากชื่อ ภาษาอังกฤษเลยคำว่า Gold แปลว่า ทองคำ(ไม่ใช่ทองเฉยๆ) เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ดังนั้น ถ้า White Gold ก็คือ
ทองคำขาว ซึ่งเป็นทองคำเจือโลหะอื่นให้มีสีขาว และมีเปอร์เซนต์ทองต่ำลง
ส่วน Platinum ก็เป็นธาตุอีกชนิดนึง เป็นโลหะมีค่า แพงกว่าทองซะอีก (ตอนนี้ Platinum oz ละ 500 กว่า $ ขณะที่ ทองคำ
ราคาแค่ oz ละ 300$ เท่านั้น) พวกนี้มีความแข็ง และความหนาแน่นสูงกว่าทอง
ทองขาว มีชื่อภาษาอังกฤษว่า แพลทินัม (Platinum) แพลทินัม เป็นธาตุบริสุทธิ์ มีสีเงินเทา มีน้ำหนักมาก สามารถยืด
และตีเป็นแผ่นได้ แพลทินัมทนต่อการกัดกร่อนมาก ในธรรมชาติพบอยู่กับสินแร่ของนิกเกิลและทองแดง แพลทินัมใช้ทำ
เครื่องประดับ อุปกรณ์ในห้องทดลอง ตัวนำไฟฟ้า งานทันตกรรม และเครื่องกรองไอเสียในรถยนต์
ทองขาว (Platinum) มีราคาสูงกว่าทองคำบริสุทธิ์ (Gold) ประมาณ 2 เท่า
ส่วนทองคำขาว มีชื่อภาษาอังกฤษว่า ไวท์โกลด์ (White gold) ผู้ซื้อส่วนมากมักจะโดนร้านค้าสอนให้เรียกแบบผิดๆ ซึ่งทำให้สินค้า
ของตัวเองดูมีราคามากขึ้น
ทองคำขาว (White gold) จะถูกว่าทองคำบริสุทธ์ เนื่องจากมีส่วนผสมที่ไม่ครบ 100% นั่นเอง
ทองคำขาว (White gold) คือโลหะผสม ของทองคำและโลหะสีขาว เช่น เงิน และ แพลเลเดียม ซึ่งเราอาจจะเห็น
ทองขาวมีตัวเลข 90% , 75% หรือ % อื่นๆ ก็ตาม เช่น
ทองคำ (Yellow gold) มีตัวเลข 90% หมายถึง ทองคำ 90% + ทองแดงและสังกะสี อีก 10%
ทองคำขาว (White gold) มีตัวเลข 90% หมายถึง ทองคำ 90% + เงินและแพลเลเดียม อีก 10%
ข้อมูลเพิ่มเติม
ทองคำขาว คือ วัสดุผสม ของของ ทองคำและโลหะขาวอื่นๆ เช่น เงิน แพลเลเดียม หรือ นิกเกิล สีปกติของทองคำขาวมีสีเทาอ่อน
โดยปกติอัญมณีที่ทำจากทองคำขาว นิยมเคลือบด้วย โรเดียม หรือ แพลตินัมเพื่อเพิ่มความเงางาม ทองคำขาวไม่ใช่แพลตินัม โดย
ปกติจะเคลือบแพลตินัมไม่เกิน 1 ใน 3
เนื่องจากแพลตินัมมีราคาแพง ทองคำขาวได้ถูกคิดค้นขึ้นในช่วง คริสต์ทศวรรษ 1920 ซึ่งเป็นวัสดุผสมที่จาก ทองคำ -แพลเลเดียม -
นิกเกิล และราคาถูกกว่า แพลตินัม ในช่วงสงครามโลกครั้งที่2 แพลตินัมและนิกเกิลถูกห้ามใช้ในกิจการอื่นนอกเหนือจากในสงคราม
ทำให้วัสดุผสมระหว่าง ทองคำนิ-แพลเลเดียม เป็นที่นิยมในสหรัฐอเมริกา โดยมีน้ำหนักมากกว่าทองคำ -กเกิล ภายหลังสงคราม
ทองคำขาวจากการผสมของนิกเกิลได้เป็นที่นิยมอีกครั้งเนื่องจากราคาที่ถูกกว่า
บางคน (ประมาณ 12.5%) มีอาการแพ้ต่อทองคำขาว เนื่องจากปฏิกิริยาระหว่าง นิกเกิลกับผิวหนัง โดยการระคายเคืองเล็กน้อยและ
อาจจะเป็นผื่นคัน

การเจียระไน

วัตถุประสงค์หลักของ "การเจียระไน" คือการทำให้เพชรเป็นประกาย เงางาม ที่สุด ซึ่งจะพิจารณาจากความสวยงามโดยรวม สัดส่วน ความสมมาตร การขัดเงาผิว และอีกหลายอย่างด้วยกัน โดยสถาบันอัญมณีศาสตร์ชั้นนำ ของโลกได้จัดระดับไว้เพียง 5 ระดับคือ Excellent (ดีเยี่ยม), Very Good (ดีมาก), Good (ดี), Fair (ปานกลาง), Poor (แย่) แต่การระบุคุณภาพของ การเจียระไนที่แน่นอนนั้นทำได้ยากมาก เนื่องจากจะต้องดูขนาด สัดส่วนที่สมบูรณ์ ไม่บาง หรือหนาจนเกินไป สัดส่วนเพชรที่ดีที่สุดตามอุดมคติเป็นไปตามรูปด้านบน
** เพชรที่มีลักษณะต่อไปนี้ไม่แนะนำให้ซื้อ เพราะตกจาก Class III เป็น Class IV จะราคาตกค่อนข้างมาก**

- Table ขนาดเล็กกว่า 51% หรือใหญ่กว่า 70%
- มุมคราวน์ (Crown angle) ต่ำกว่า 30 องศา หรือสูงกว่า 37 องศา
- ความลึกพาวิลเลี่ยน (Pavillion Depth) ต่ำกว่า 41% หรือสูงกว่า 46%

ต่อ เพชร

เพชร Heart & Arrow (ideal Cut) หรือเรียกสั้นๆ ว่าเพชร H&A นั้น เป็นเพชรที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเพชรทรงกลม (Round Brilliant) มีเหลี่ยมการเจียระไนเหลี่ยมที่ประณีต สวยสมบูรณ์แบบมากที่สุด ทุกขั้นตอนการเจียระไนต้องอาศัยความแม่นยำ ทั้งในด้านสัดส่วน (Proportion) ความสมมาตร (Symmetry) และการขัดเงา (Polish) ซึ่งความสมดุลทั้งหมดนี้ ทำให้เพชร Heart & Arrow เปล่งประกายสะท้อนความงดงามได้อย่างเต็มที่ เหนือกว่าเพชรทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด

แม้สังเกตด้วยตาเปล่าจะเห็นว่าเพชร Heart & Arrow มีประกายความงดงามมากที่สุด เมื่อใช้กล้องพิเศษ Heart & Arrow Loupe สำหรับส่องดูเพชร Heart & Arrow โดยเฉพาะ สิ่งที่ได้เห็นคือรูปแบบการเจียระไนแบบพิเศษ ซึ่งเมื่อมองผ่านกล้องจากด้านบน (face-up) จะเห็น pattern รูปลูกศร จำนวน 8 ดอก ซึ่งมีขนาดและสัดส่วนเท่ากันอย่างชัดเจน และเมื่อมองผ่านกล้องจากด้านล่าง (Bottom up) ก็จะเห็น pattern รูปหัวใจ 8 ดวงที่สมบูรณ์เช่นกัน การเจียระไนแบบพิเศษนี้เอง ที่ทำให้เพชร Heart & Arrow มีปริมาณแสงที่สะท้อนกลับออกมาสมบูรณ์แบบ

แต่ในการเจียระไนเพชรเพื่อให้ได้เพชรที่มีสัดส่วนงดงามสมบูรณ์แบบ “Heart & Arrow” เช่นนี้ จะต้องตัดเนื้อเพชรดิบ (Rough Diamonds) ออกไปมากกว่าการเจียระไนเพชรแบบอื่นๆ ตัวอย่างเช่น ก้อนเพชรดิบหนัก 5 กะรัต หากต้องการรักษาน้ำหนัก และนำมาเจียระไนเป็น “เหลี่ยมอินเดีย” แล้วเมื่อเจียระไนเสร็จ เพชร (Polished Diamond) ที่ได้ อาจมีน้ำหนักสูงถึง 4 กะรัต หรือถ้าเจียระไนเป็นแบบอื่นๆอย่าง “เหลี่ยมเบลเยียม” อาจมีน้ำหนัก 3 กะรัต “เหลี่ยมรัชเชี่ยน” อาจมีน้ำหนัก 2 กะรัต และอาจเหลือเพียงแค่ 1 กะรัต หากเจียระไนเป็นแบบ “Heart & Arrow” นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม เพชรที่เจียระไนแบบ “Heart & Arrow” H Color จึงมีราคาสูงกว่าเพชรที่เจียระไนแบบอื่น เป็นเท่าตัว

เพชร

เพชร ( Diamond) เป็นอัญมณีประจำเดือนเมษายน คำว่า "Diamond" นั้นมีรากศัพท์มาจากภาษา
กรีกว่า "Adamas" มีความหมายว่าไม่มีใครเอาชนะได้ ( unconquerable ) ซึ่งสืบเนื่องมาจากความ
แข็งของเพชรนั่นเอง
เพชร มีต้นกำเนิดมาจาก หินอัคนีชนิดหนึ่งเรียกว่า คิมเบอร์ไลต์ ซึ่งจะเกิดอยู่ในสภาวะที่มีความร้อน
ความกดดันสูงมาก และอยู่ลึกภายใต้ผิวโลก กำเนิดของเพชร แบบนี้เรียกว่า แหล่งปฐม หลังจากนั้น
เมื่อมีการเคลื่อนตัว ของหินคิมเบอร์ไลต์ ขึ้นสู่ผิวโลก เพชรในหินนี้จะ ถูกนำขึ้นมาด้วย และเมื่อเวลา
ผ่านไปนานแสนนานในสภาพบรรยากาศของผิวโลก หินคิมเบอร์ไลต์ จะมีการผุกร่อนย่อยสลาย ทำ
ให้เพชรหลุดออกมา จากหินต้นกำเนิด และถูกพัดพา โดยตัวกลางหลายชนิด เช่น น้ำ ลม หิมะ ฯลฯ
ไปสะสมตัว ในสภาวะทาง ธรณีวิทยาที่เหมาะสม เนื่องจากมีค่า ความถ่วงจำเพาะสูงมาก พอสมควร
เช่น ในท้องน้ำลำธารแม่น้ำแอ่งเขาหุบเขาตลอดจนในทะเลแหล่งเพชร แบบนี้เรียกว่า แหล่งทุติยภูมิ
ซึ่งเป็นแหล่งที่มีจำนวนมาก และให้ผลผลิตเพชร ในปริมาณที่มากด้วย มีผู้ประมาณกันว่า โดยเฉลี่ย
แล้ว เพชรดิบน้ำหนัก 4 กะรัตจะได้จากการขุดเอา เศษดินเศษหินจาก แหล่งเพชร ประมาณ 23 ตัน
แต่ในเพชรดิบจำนวน 4 กะรัต ที่ได้นั้น จะมีเพียง 1 กะรัตเท่านั้นที่มี คุณภาพเป็นรัตนชาติและจาก
เพชร 1 กะรัตนี้เมื่อนำไปเจียระไนแล้ว จะเหลือน้ำหนัก สุดท้ายเพียง 1/2 กะรัตเท่านั้นดังนั้นการที่
จะได้เพชรน้ำหนัก 1 กะรัตมาทำเป็นเครื่องประดับจึงจะต้องขุดเอาจากเศษดินเศษหิน ในแหล่งเพชร
เป็นจำนวนถึง 46 ตัน

จากสมบัติทางกายภาพของเพชรซึ่งมีผลถึงความสวยงาม ประกายแวววาว เพชรจึงเป็นอัญมณีที่เป็น
ที่นิยมนำมาเจียระ ไนรูปทรงต่างๆ เพื่อนำมาทำเครื่องประดับตั้งแต่สมัยอดีตกาล โดยเพชรที่มีชื่อ
เสียงมักมีขนาดใหญ่ หรือมีสีสวยงามหายาก ส่วนใหญ่นิยมนำมาทำเป็นเครื่องประดับ สำหรับพระ
มหากษัตริย์ ตัวอย่างเช่นเพชร Cullinan I เป็นเพชรเจียระไนที่มีน้ำหนักถึง 530.20 กะรัตประดับบน
คฑาของเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับกษัตริย์อังกฤษ เป็นต้น ปัจจุบันเพชรที่มีชื่อเสียงเหล่านี้ส่วน
ใหญ่ ถูกเก็บรักษาอยู่ในพิพิธภัณฑ์ในประเทศต่างๆ
รูปแบบผลึกเพชรที่พบมากที่สุด จะเป็นรูปปิรามิด ฐานสี่เหลี่ยมประกบติดกัน มีแปดหน้า ผลึกรูป
แบบอื่นๆ ที่พบ ได้แก่ รูปคล้าย สี่เหลี่ยมลูกเต๋า และรูปกลมคล้ายตะกร้อ และที่หน้าผลึกเพชรโดย
เฉพาะหน้าที่เป็นรูปสามเหลี่ยมของแบบปิรามิด แปดหน้ามักจะพบลักษณะคล้ายรูปสามเหลี่ยมเล็กๆ
เป็นร่องลึกซ้อนเข้าไปในเนื้อเพชรเล็กน้อยวางตัวในทิศทางกลับกับ สามเหลี่ยมของหน้าผลึกเรียก
ว่า ไตรกอน (trigon) ซึ่งเป็นลักษณะที่พบได้ในเพชรแท้ เท่านั้น



เพชรสามารถเกิดขึ้นได้มากมายหลายสี แต่ชนิดที่เป็นที่รู้จักคุ้นเคยมากจะเป็นชนิดสีขาว หรือ
ใสไร้สี และมักมีสีอื่น ปนเล็กน้อย เช่น เหลือง น้ำตาล หรือเทา เพชรที่มีสีเข้มสวยเรียกว่า เพชรสี
ซึ่งมีราคาสูงและหายากมากเพชรสีได้แก่ เพชรสีชมพูอมแดง เขียว ส้ม เหลืองทอง ฟ้า ม่วงเป็นต้น


รูปแบบ การเจียระไนของเพชร ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบันนี้ ได้แก่การเจียระไนแบบกลม
เหลี่ยมเพชร หรือเหลี่ยมเกสร (Round Brilliant) ซึ่งการเจียระไนแบบนี้ จะสามารถแสดงลักษณะ
เด่นพิเศษ ของเพชรออกมาให้เห็นได้ สวยงามชัดเจนที่สุด รูปแบบอื่นๆ ที่เป็นที่นิยม รองลงมาได้
แก่ รูปไข่ (Oval Shape) รูปหัวใจ (Heart Shape) รูปสี่เหลี่ยมแบบมรกต (Emerald cut)
รูปสี่เหลี่ยมแบบปริ้นเซส (Princess cut) รูปมาร์คีส์ รูปหยดน้ำ (Pear Shape) (ลูกแพร์) เป็นต้น
ซึ่งเรียกว่า แบบแฟนซี (Fancy Shape Diamond) นอกจากนี้ อาจจะพบเพชร ที่มีการเจียระไน
ในรูปแบบแปลกๆ เป็นพิเศษ เฉพาะตัวได้ เช่นกัน
เนื่องจากราคาของเพชรขึ้นอยู่กับคุณภาพของเพชรแต่ละเม็ด จึงมีการจัดระดับคุณภาพของเพชร
ตามกฎ 4 C's ซึ่งประกอบด้วย กะรัต (Carat) ความใสสะอาด (Clarity) การเจียระไน (Cutting)
และสี (Colour) โดยเพชรที่มีน้ำหนักกะรัตมากย่อมมีราคาต่อกะรัตสูงกว่าเพชรที่มีขนาดเล็กคุณ
ภาพการเจียระไน ก็มีผลต่อความสวยงาม จึงมีผู้คิดค้นรูปแบบการเจียระไนแบบต่างๆ เพื่อให้ได้
เพชรที่มีประกายแวววาวสวยงามที่สุด แม้ว่าเพชรในธรรมชาติมีได้หลายสีที่พบมากคือตั้งแต่ไม่มี
สีจนถึงค่อนข้างเหลือง สำหรับเพชรที่มีสีสวยงาม เช่น สีน้ำเงิน ชมพู แดง หรือเหลืองสด จัดเป็น
เพชรสีแฟนซี ซึ่งหายากและมีราคาแพง แต่ที่นิยมนำมาใช้ทำเครื่องประดับโดยทั่วไป จะไม่มีสี
ค่อนข้างเหลืองอ่อน ระดับความใสสะอาดที่เป็นที่นิยมใช้ทำเครื่องประดับโดยทั่วไปจะใส - ค่อน
ข้าง ใส คือมีตำหนิน้อยที่สุด สำหรับเพชรที่มีคุณภาพความสะอาดต่ำหรือมีมลทินภายในมากจน
ทำให้เกิด ความไม่สวยงามนั้นจะนำมาใช้ในอุตสาหกรรม เช่น ผงขัด หัวขุดเจาะ เป็นต้น



แหล่งเพชรที่มีขนาดใหญ่ และเป็นแหล่งสำคัญของโลกได้แก่ ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ซาอีร์
นามีเบีย บอสวานา รัสเซีย แคนาดา และจีน ผลผลิตเพชรทั้งหมดทั่วโลกจะมีประมาณ 100 ล้าน
กะรัตต่อปี และจะมีเพียง 20 เปอร์เซนต์จากจำนวนนี้เท่านั้น ที่เป็นเพชร ที่มีคุณภาพ ทางรัตนชาติ
ที่เหลือจะเป็นเพชร ใช้ในทางอุตสาหกรรม ต่างๆ และจากผลผลิต เพชรทั้งหมด จะมีประมาณ 80
เปอร์เซนต์ที่ถูก ควบคุมการตลาดการซื้อขาย

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเพชร

เพชรเป็นวัตถุทางะรรมชาติที่มีความแข็งที่สุด เพชรแข็งกว่าแร่ธาตุที่มีความแข็งเป็นอันดับ 2
ถึง 58 เท่า
" เพชรทุกเม็ดเป็นอัญมณีที่มีความเก่าแก่และถือกำเนิดก่อนไดโนเสาร์ เพชรที่มีอายุน้อยที่สุด
มีอายุ 900 ล้านปี และเพชรที่มีอายุมากที่สุดมีอายุถึง 3,200 ล้านปี"
เพชรมีองค์ประกอบทางเคมีเป็นคาร์บอนถึงแม้ว่าในทางชีวเคมีเพชรไม่ได้แตกต่างจากถ่านหิน
หรือถ่านไส้ดินสอที่ใช้เขียนหนังสือ แต่สิ่งที่แตกต่างคือเพชรได้ผ่านความร้อนและความกดดัน
สูงที่สุดในโลก
บีบอัดจนกลายเป็นอัญมณีที่มีค่าสุงที่สุดในโลก
เพชรต้องเจียระไนด้วเพชรเท่านั้น
เพชรที่ได้จากการขุดพบมีทุกสี และสีที่หายากที่สุดคือ สีแดง
เพชรทุกเม็ดมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ไม่มีทางที่เพชรสองเม็ดจะเหมือนกัน
เพชรจำนวนมากกว่าครึ่งของโลกมาจากแหล่งเพชรในทวีปแอฟริกา
เพชรดิบแต่ละเม็ดจะสูญเสียน้ำหนักไปมากกว่าครึ่งในกระบวนการเจียระไนกว่าจะมาเป็นเพชร
ที่เปล่งประกายเจิดจรัส
คำว่า"carat"มาจากคำว่า carob ซึ่งเมล็ดของเป็นต้น carob ถูกนำมาใช้เป็นหน่วยมาตรฐาน
สำหรับการชั่งน้ำหนักเพชรพลอย
ในบรรดาเพชรที่ถูกนำมาทำเครื่องประดับ มีเพียง 5% เท่านั้นที่มีขนาดใหญ่เกิน 1 กะรัต
คุณสมบัติจำเพาะของ เพชร (Diamond)

เพชร มีองค์ประกอบทางเคมีเป็นธาตุคาร์บอน (C)
ผลึกเพชรอยู่ในระบบคิวบิก (Cubic)
มีรูปผลึกส่วนใหญ่เป็นแบบออกตะฮีดรอล (Octahedron)
แร่มีความแข็งมากที่สุด มีความแข็งเท่ากับ 10 ในโมสเกล หรือแข็งมากกว่าทับทิม 140 เท่า
(Mohs' Scale of Hardness)
ความถ่วงจำเพาะ 3.52
ค่าดัชนีหักเห 2.417
การกระจายแสง . 044
สีที่เห็นบริเวณส่วนล่าง สีส้มและฟ้าของเพชร ( Pavilion )
ความสามารถเรืองแสงมักจะเรืองแสงสีฟ้าอ่อน-เข้ม ( Ultraviolet Lamp คลื่นสั้นและคลื่นยาว)

ใกล้กลับบ้านแล้ว

ใกล้กลับบ้านแล้วไปรีดผ้า อาบน้ำ สวดมนต์ นอน ก่อนครับ อาจารย์

ยังไม่มีเหตุรุนแรง

พวกแดงยังไม่ออกศึกอีก
จะได้จบๆ

สวัสดีเช้าวันอาทิตย์

สวัสดีเช้าวันอาทิตย์ครับอาจารย์พรทิพย์
วันนี้ยังอยู่เตรียมพร้อมอย่ที่กรม ครับอาจารย์

13 มีนาคม 2553

โรงเรียนเก่า

ประวัติความเป็นมาโรงเรียนนวมินทราชูทิศ ทักษิณ......
โรงเรียนนวมินทราชูทิศ ทักษิณ เป็นโรงเรียน 1 ในจำนวน 5 โรงเรียน ตามโครงการจัดตั้งโรงเรียนมัธยมศึกษาของกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อเฉลิมพระเกียรติถวายเป็นพระราชสักการะแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ เมื่อพุทธศักราช 2530 เพื่อเป็นถาวรวัตถุทางการศึกษาสืบไป โดยกระทรวงศึกษาธิการ ได้ประกาศจัดตั้งเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2528 ใช้ชื่อว่า "โรงเรียนนวมราชูทิศ ทักษิณ" ใช้อาคารเรียนของโรงเรียนบ้านน้ำกระจาย ตำบลพะวง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เป็นสถานที่เรียน ต่อมาได้ประกาศเปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น "โรงเรียนนวมินทราชูทิศ ทักษิณ" เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2528 และในวันที่ 1 กันยายน 2528 ย้ายสถานที่ฝากเรียนจากโรงเรียนบ้านน้ำกระจาย ไปใช้อาคารเรียนภายในวิทยาลัยครูสงขลา ตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา และได้ย้ายนักเรียนทั้งหมดมาเรียน ณ สถานที่ตั้งปัจจุบัน ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 431 หมู่ที่ 2 ตำบลพะวง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2532
ที่ตั้งโรงเรียน.......
โรงเรียนนวมินทราชูทิศ ทักษิณ ตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 431 หมู่บ้านน้ำกระจาย ตำบลพะวง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ห่างจากห้าแยกบ้านน้ำจาย ประมาณ 900 เมตร และอยู่ห่างจากทะเลสาบสงขลาด้านเกาะยอ ประมาณ 2 กิโลเมตร ห่างจากที่ว่าการอำเภอเมืองและศาลากลางจังหวัดสงขลา ประมาณ 13 กิโลเมตร
ทิศเหนือ...............จรดสำนักงานประกันสังคมจังหวัดสงขลา
ทิศใต้...................จรดทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 408 และสถานีขนส่ง
จังหวัด
ทิศตะวันออก.........จรดทางหลวงท้องถิ่น (ถนน 30 เมตร)
ทิศตะวันตก...........จรดศูนย์ศรีเกียรติพัฒน์ ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน
จังหวัดสงขลา

ตราประจำโรงเรียน.......
.ตราพระมหาพิชัยมงกุฎครอบอุณาโลม รองรับด้วยโมลี 2 ชั้น
มีชื่อ นวมินทราชูทิศ ทักษิณ ภายในผืนโบว์
คติพจนและคำขวัญ....
........คติพจน์..................ปัญญา ปฏิปทา....."ถึงพร้อมด้วยปัญญา"
........คำขวัญ...................ดนตรี....กีฬา....วิชาการ....งานชุมชน
ต้นไม้และดอกไม้ประจำโรงเรียน
ต้นและดอกราชพฤกษ์
สีประจำโรงเรียน
สีน้ำเงินขาบ และ สีเหลือง
..สีน้ำเงินขาบ หมายถึง สีประจำราชวงศ์จักรี
..สีเหลือง หมายถึง สีประจำวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ซึ่ง ตรง.กับวันจันทร์...

พันธุวิศวกรรม

พันธุวิศวกรรมเป็นกระบวนการปรับปรุงพันธุ์สิ่งมีชีวิต โดยนำยีนจากสิ่งมีชีวิตชนิดพันธุ์หนึ่ง (species) ถ่ายฝากเข้าไปอีกชนิดพันธุ์หนึ่ง เพื่อจุดประสงค์ที่จะปรับปรุงสายพันธุ์ให้ดีขึ้น กระบวนการดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า LMO (living modified organism) หรือ GMO (genetically modified organism) ตัวอย่างการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการใช้ประโยชน์เชิงการค้ามีมากมาย ซึ่งจะกล่าวถึงเพียงบางอย่างเท่านั้น
การใช้ประโยชน์ของพันธุวิศวกรรมทางด้านต่างๆ
ทางด้านการเกษตรและอาหาร
เช่น การปรับปรุงพันธุ์พืชให้ต้านทานโรคหรือแมลง การปรับปรุงพันธุ์แบบดั้งเดิมนั้น ซึ่งยังคงทำกันอยู่ โดยใช้วิธีหาพันธุ์ต้านทานซึ่งส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ป่าและมีลักษณะไม่ดีอยู่มาก จากนั้นเอาพันธุ์ต้านทานผสมพันธุ์พ่อ-แม่ เข้าด้วยกันรวมทั้งลักษณะต้านทานด้วยเหตุนี้ จึงต้องเสียเวลาคัดเลือก และพัฒนาพันธุ์ต่ออีกอย่างน้อย 8-10 ปี กว่าจะได้พันธุ์ต้านทานและมีลักษณะอื่น ๆ ดีด้วย เพราะไม่สามารถเลือกยีนที่สามารถต้านทานใส่ไปได้โดยตรง ดังนั้นวิธีการปรับปรุงพันธุ์โดยการถ่ายฝากยีนที่ได้รับจากชนิดพันธุ์อื่น จึงสามารถลดระยะเวลาการพัฒนาพันธุ์ได้มาก
พันธุ์พืชต้านทานแมลง มีสารสกัดชีวภาพจากแบคทีเรีย Bacillus thuringiensis หรือ บีที ที่ใช้กำจัดแมลงกลุ่มหนึ่งอย่างได้ผลโดยการฉีดพ่นคล้ายสารเคมีอื่น ๆ เพื่อลดการใช้สารเคมีด้วยความก้าวหน้าทางวิชาการทำให้สามารถแยกยีนบีที จากจุลินทรีย์นี้และถ่ายฝากให้พืชพันธุ์ต่าง ๆ เช่น ฝ้าย ข้าวโพด และมันฝรั่ง เป็นต้นให้ต้านทานแมลงกลุ่มนั้น และใช้อย่างได้ผลเป็นการค้าแล้วในประเทศ
พันธุ์พืชต้านทานโรคไวรัส โรคไวรัสของพืชหลายชนิด เช่น โรคจุดวงแหวนในมะละกอ (papaya ring-spot virus) สามารถป้องกันกำจัดได้โดยวิธีนำยีนเปลือกโปรตีน (coat protein) ของไวรัสนั้นถ่ายฝากไปในพืช เหมือนเป็นการปลูกวัคซีนให้พืชนั่นเอง กระบวนการดังกล่าวใช้กันอย่างแพร่หลายในพืชต่างๆ เป็นต้น
ทางการพัฒนาพันธุ์สิ่งมีชีวิตให้มีคุณภาพผลผลิตดี
ตัวอย่าง เช่น
- การถ่ายฝากยีนสุกงอมช้า (delayed ripening gene) ในมะเขือเทศ การสุกในผลไม้เกิดจากการผลิตสาร ethylene เพิ่มมากในระยะสุกแก่ นักวิชาการสามารถวิเคราะห์โครงสร้างยีนนี้ และมีวิธีการควบคุมการแสดงออกโดยวิธีการถ่ายฝากยีนได้ ทำให้ผลไม้สุกงอมช้า สามารถเก็บไว้ได้นาน ส่งไปจำหน่ายไกล ๆ ได้ สหรัฐเป็นประเทศแรกที่ผลิตมะเขือเทศสุกงอมช้าได้เป็นการค้า และวางตลาดให้ประชาชนรับประทานแล้ว
- การพัฒนาพันธุ์พืชให้ผลิตสารพิเศษ เช่นสารที่เป็นประโยชน์ต่าง ๆ ที่มีคุณค่าทางอาหารสูง อาจเป็นแหล่งผลิตไวตามิน ผลิตวัคซีน และผลิตสารที่นำไปสู่การผลิตทางอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น พลาสติคย่อยสลายได้ และโพลิมเมอร์ ชนิดต่าง ๆ เป็นต้น
- การพัฒนาพันธุ์สัตว์ มีการพัฒนาพันธุ์โดยการถ่ายฝากยีน ทั้งในปศุสัตว์ และสัตว์น้ำ รวมทั้งน้ำปลา ได้มีตัวอย่างหลายรายการ เช่น การถ่ายฝากยีนเร่งการเจริญเติบโต และยีนต้านทานโรคต่าง ๆ เป็นต้น อย่างไรก็ตามประโยชน์ของพันธุวิศวกรรมในเรื่องการผลิตสัตว์นั้นเป็นเรื่องของการพัฒนาชุดตรวจระวังโรคเป็นส่วนใหญ่
- การพัฒนาสายพันธุ์จุลินทรีย์ ให้มีคุณลักษณะพิเศษบางอย่าง เช่นให้สามารถกำจัดคราบน้ำมันได้ดี เป็นต้น
ทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข
ตัวอย่าง เช่น
เทคโนโลยีชีวภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์ความรู้จากการวิจัยจีโนม ทำให้นักวิจัยรู้สึกถึงระดับยีนสิ่งมีชีวิต รู้ว่ายีนใดอยู่ที่ไหนบนโครโมโซม หรือนอกโครโมโซม สามารถสังเคราะห์ชิ้นส่วนนั้นได้ หรือตัดออกมาได้ แล้วนำไปใช้ประโยชน์ในเรื่องต่างๆ
- การตรวจโรค เมื่อสามารถสังเคราะห์ชิ้นส่วน ดีเอ็นเอ หรือยีนได้แล้ว ก็สามารถพัฒนาเป็น molecular probes สำหรับใช้ในการตรวจโรคต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การพัฒนายารักษาโรคและวัคฃิน ยารักษาโรค และวัคฃีน ใหม่ๆ ผลิตโดยวิธีพันธุวิศวกรรมในจุลินทรี หรือ recombinant DNA ทั้งสิ้น
- การสับเปลี่ยนยีนด้อยด้วยยีนดี (gene therapy) ในอนาคต เมื่องานวิจัยจีโนมมนุษย์สำเร็จ ความหวังของคนที่ป่วยเป็นโรคทางพันธุกรรม อาจมีหนทางรักษาโดยวิธีปรับเปลี่ยนยีนได้
ทางด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีชีวภาพ นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พืชที่ได้รับการถ่ายฝากยีนต้านทานโรคและแมลง ทำให้ไม่ต้องใช้สารเคมีฉีดพ่นหรือใช้ในปริมาณที่ลดลงมาก พันธุวิศวกรรมอาจนำไปสู่การผลิตพืชที่ใช้ปุ๋ยน้อย และ น้ำน้อย ทำให้เป็นการลดการใช้ปุ๋ยเคมี เป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และนำไปสู่การสร้างสมดุลทรัพยากรชีวภาพได้
ทางด้านการพัฒนาอุตสาหกรรม
เมื่อวัตถุดิบได้รับการปรับเปลี่ยนคุณภาพให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรม โดยใช้พันธุวิศวกรรมแล้ว อุตสาหกรรมใหม่ๆจะเกิดตามมากมาย เช่น การเปลี่ยนโครงสร้างแป้ง น้ำมัน และโปรตีน ในพืช หรือการลดปริมาณเซลลูโลสในไม้ เป็นต้น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพในอนาคต จะเป็นการปฏิรูปแบบอุตสาหกรรมใหม่ โดยเน้นการใช้วัตถุดิบจากสิ่งมีชีวิตมากขึ้น รถยนต์ทั้งคัน อาจทำจากแป้งข้าวโพด สารเคมีทั้งหมดอาจพัฒนาจากแป้ง เชื้อเพลิงอาจพัฒนาจากวัตถุดิบพืช เป็นต้น

จีเอ็มโอ

จีเอ็มโอ ย่อมาจากคำภาษาอังกฤษว่า Genetically Modified Organisms (GMOs) คือ สิ่งมีชีวิตซึ่งไม่ว่าเป็นพืช หรือสัตว์ที่ถูกดัดแปลง พันธุกรรม จากกระบวนการทาง พันธุวิศวกรรม (Genetic Engineering)โดยจากการตัดเอายีนของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง มาใส่เข้าไปในยีนของสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง โดยตามปกติไม่เคยผสมพันธุ์กันได้ในธรรรมชาติ เพื่อให้สิ่งมีชีวิตชนิดนั้น ที่มีคุณลักษณะหรือคุณสมบัติตามที่ต้องการ ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่ถูกนำยีนมาใส่เข้าไปแล้วก็คือ จีเอ็มโอ(GMOs) ตัวอย่างเช่น นำยีนทนความหนาวเย็นจากปลาขั้วโลกมาผสมกับมะเขือเทศเพื่อให้มะเขือเทศปลูกในที่ที่อากาศหนาวเย็นได้ นำยีนจากแบคทีเรียชนิดหนึ่งมาใส่ในยีนของถั่วเหลืองเพื่อให้ถั่วเหลืองทนทานต่อยาปราบวัชพืช นำยีนจากไวรัสมาใส่ในมะละกอเพื่อให้มะละกอต้านทานโรคไวรัสใบด่างวงแหวนได้ เป็นต้น
โดยพืชที่ได้รับการตัดต่อยีนจากกระบวนการทาง ทาง พันธุวิศวกรรม (Genetic Engineering) อาจเรียกแบบเฉพาะได้ว่า Transgenic Plant ส่วนคำว่า จีเอ็มโอ(GMOs) เป็นคำที่เรียกสิ่งมีชีวิตทั่วไปที่ได้รับการตัดต่อยีน
พืชจีเอ็มโอที่มีขายตามท้องตลาดในปัจจุบัน ได้แก่ ถั่วเหลือง, ข้าวโพด, มันฝรั่ง, มะเขือเทศ, มะละกอ, ฝ้าย, คาโนลา (Canola) (พืชให้น้ำมัน) และ สควอช (Squash)

chromosome

โครโมโซม (chromosome)เป็นที่อยู่ของหน่วยพันธุกรรม ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมและถ่ายทอดข้อมูล เกี่ยวกับ ลักษณะทางพันธุกรรมต่างๆ ของสิ่งมีชีวิต เช่น ลักษณะของเส้นผม ลักษณะดวงตา เพศ และผิว

การศึกษาลักษณะโครโมโซม จะต้องอาศัยการดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ที่กำลังขยายสูงๆ จึงจะสามารถ มองเห็นรายละเอียดของโครโมโซมได้

หน่วยพันธุกรรม หรือ ยีน ( Gene )ปรากฏอยู่บนโครโมโซม ประกอบด้วยดีเอ็นเอ ทำหน้าที่กำหนดลักษณะ ทางพันธุกรรมต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต หน่วยพันธุกรรม จะถูกถ่ายทอดจากสิ่งมีชีวิต รุ่นก่อนหน้าสู่ลูกหลาน เช่น ควบคุมกระบวนที่เกี่ยวกับกิจกรรมทั่ว ๆ ไปทางชีวเคมีภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต ไปจนถึงลักษณะปรากฏที่พบเห็นหรือสังเกตได้ด้วยตา เช่น รูปร่างหน้าตาของเด็กที่มีบางส่วนเหมือนกับแม่, สีสันของดอกไม้, รสชาติของอาหารนานาชนิด ล้วนแล้วแต่เป็นลักษณะที่บันทึกอยู่ในหน่วยพันธุกรรมทั้งสิ้น

Chromosome

โครโมโซม(Chromosome)สามารถพบได้ในนิวเคลียสของเซลล์สิ่งมีชีวิตทั่วไป โดยสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดอาจมีจำนวนและรูปร่างโครโมโซม(Chromosome)แตกต่างกัน แต่โดยทั่วไปแล้วทุกๆ เซลล์ภายในของสิ่งมีชีวิตจะมีจำนวนโครโมโซม(Chromosome)เท่ากัน ยกเว้นในเซลล์สืบพันธุ์ ซึ่งจะมีจำนวนโครโมโซม(Chromosome)ลดลงครึ่งหนึ่ง และในเซลล์ที่ไม่มีนิวเคลียสซึ่งจะไม่พบโครโมโซม(Chromosome) ถ้าหากตัดโครโมโซม(Chromosome)ระยะเมตาเฟส (Metaphase) ออกมาส่วนหนึ่งจะพบว่ามีลักษณะเป็นเส้นใยโครมาติน(Chromatin fiber)ที่อัดตัวกันแน่น ซึ่งหากยืดเส้นใยเหล่านี้ออกจะพบว่าเป็นส่วนของนิวคลีโอโซม(Nucleosome)ที่เชื่อมต่อกันและขดเป็นวงแหวนโซลีนอยด์ (solenoid) เรียกว่า ซุปเปอร์คอยด์ นิวคลีโอโซม (Supercoiled nucleosome) ถ้ายืดเส้นใยนี้ออกอีกจะพบว่าแต่ละนิวคลีโอโซม(Nucleosome) มีสายดีเอ็นเอ(DNA)พันอยู่ 2 รอบเรียก coiled nucleosome ซึ่งนิวคลีโอโซม(Nucleosome)เหล่านี้แท้จริงคือโปรตีนฮิสโตน(Histone Protein) 8 ก้อนที่เกาะติดกันเรียกทั่วไปว่า histone octamer และยังมีโปรตีนฮิสโตน 1 ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมให้สายดีเอ็นเอที่พันรอบนั้นคงอยู่ได้ และทำให้นิวคลีโอโซม(Nucleosome)เชื่อมเป็นสายต่อเนื่องกันด้วย

(DNA)

ดีเอ็นเอ (DNA) เป็นชื่อย่อของสารพันธุกรรม มีชื่อแบบเต็มว่า กรดดีออกซีไรโบนิวคลีอิก (Deoxyribonucleic acid) ซึ่งเป็นกรดนิวคลีอิก (กรดที่พบในใจกลางของเซลล์ทุกชนิด) ที่พบในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ได้แก่ คน (Haman), สัตว์ (Animal), พืช (Plant), เชื้อรา (Fungi), แบคทีเรีย (bacteria), ไวรัส (virus) ( ไวรัส จะไม่ถูกเรียกว่าสิ่งมีชีวิตเป็นเพียงอนุภาคเท่านั้น) เป็นต้น ดีเอ็นเอ (DNA) บรรจุข้อมูลทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นไว้ ซึ่งมีลักษณะที่ผสมผสานมาจากสิ่งมีชีวิตรุ่นก่อน ซึ่งก็คือ พ่อและแม่ (Parent) และสามารถถ่ายทอดไปยังสิ่งมีชีวิตรุ่นถัดไป ซึ่งก็คือ ลูกหลาน (Offspring)

ดีเอ็นเอ (DNA) มีรูปร่างเป็นเกลียวคู่ คล้ายบันไดลิงที่บิดตัวทางขวา หรือบันไดเวียนขวา ขาหรือราวของบันไดแต่ละข้างก็คือการเรียงตัวของนิวคลีโอไทด์ ( Nucleotide ) นิวคลีโอไทด์เป็นโมเลกุลที่ประกอบด้วยน้ำตาล ( Deoxyribose Sugar ), ฟอสเฟต ( Phosphate ) (ซึ่งประกอบด้วยฟอสฟอรัสและออกซิเจน) และไนโตรจีนัสเบส (Nitrogenous Base) เบสในนิวคลีโอไทด์มีอยู่สี่ชนิด ได้แก่ อะดีนีน (adenine, A) , ไทมีน (thymine, T) , ไซโทซีน (cytosine, C) และกัวนีน (guanine, G) ขาหรือราวของบันไดสองข้างหรือนิวคลีโอไทด์ถูกเชื่อมด้วยเบส โดยที่ A จะเชื่อมกับ T ด้วยพันธะไฮโดรเจนแบบพันธะคู่ หรือ double bonds และ C จะเชื่อมกับ G ด้วยพันธะไฮโดรเจนแบบพันธะสามหรือ triple bonds (ในกรณีของดีเอ็นเอ) และข้อมูลทางพันธุกรรมในสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ เกิดขึ้นจากการเรียงลำดับของเบสในดีเอ็นเอนั่นเอง

ผู้ค้นพบดีเอ็นเอ คือ ฟรีดริช มีเชอร์ ในปี พ.ศ. 2412 (ค.ศ. 1869) แต่ยังไม่ทราบว่ามีโครงสร้างอย่างไร จนในปี พ.ศ. 2496 (ค.ศ. 1953) เจมส์ ดี. วัตสัน และฟรานซิส คริก เป็นผู้รวบรวมข้อมูล และสร้างแบบจำลองโครงสร้างของดีเอ็นเอ (DNA Structure Model)จนทำให้ได้รับรางวัลโนเบล และนั่นนับเป็นจุดเริ่มต้นของยุคเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ

ตัวอย่างคำถามที่ใช้ในการสำรวจ

ในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมานี้ นักสังคมศาสตร์ในประเทศต่างๆ 20 ประเทศ ได้ออกแบบสอบถามความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และสภาวะแวดล้อมของประชากรในประเทศ ตัวอย่างคำถามที่ใช้ในการสำรวจมีดังนี้

1. ปรากฎการณ์เรือนกระจกเกิดจากการที่ชั้นบรรยากาศของโลกมีรูโหว่ ใช่หรือไม่
2. ในการพยากรณ์ของวิชาโหราศาสตร์นั้น ใช้หลักการและวิธีการของวิทยาศาสตร์ ใช่หรือไม่
3. สารเคมีทุกชนิดที่นักวิทยาศาสตร์สังเคราะห์ได้ หากบริโภคมาก จะทำให้ผู้บริโภคเป็นมะเร็ง ใช่หรือไม่
4. มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีวิวัฒนาการมาจากสัตว์อื่น ใช่หรือไม่
5. รถยนต์มิได้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสภาวะมิลพิษในอากาศ ใช่หรือไม่
6. ยาปฎิชีวนะฆ่าจุลินทรีย์ได้ แต่ฆ่าไวรัสไม่ได้ ใช่หรือไม่
7. มนุษย์กำลังเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้พืชและสัตว์ต้องล้มตายไป ใช่หรือไม่
8. ทุกครั้งที่เราใช้น้ำมัน แก๊ส หรือถ่านหิน เรากำลังทำให้เกิดปรากฎการณ์เรือนกระจกในโลก ใช่หรือไม่

ในการใช้ประชากรกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 25,000 คน ผลการสำรวจสรุปได้ว่า ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของประชากรโลกอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง โดยเฉลี่ย คนแคนาดาเป็นคนที่รอบรู้วิชาวิทยาศาสตร์ดีที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับคนชาติอื่น โดยสามารถตอบคำถามได้ถูกถึง 63 เปอร์เซ็นต์ คนนิวซีแลนด์มาเป็นที่ 2 เฉลี่ยถูก 62.7 เปอร์เซ็นต์ และคนอังกฤษที่ 3 ถูก 62.4 เปอร์เซ็นต์ นอร์เวย์ 4 ,เนเธอร์แลนด์ 5, ไอร์แลนด์เหนือ 6, สหรัฐฯ 7, และเยอรมนีตะวันออก 8 เชโกสโลวะเกีย 9, เยอรมนีตะวันตก 10, ไอร์แลนด์ 11, ญี่ปุ่น 12, อิตาลี 13, อิสราเอล 14, ฮังการี 15, สโลวาเนีย 17, ฟิลิปปินส์ 18, รัสเซีย 19 และโปแลนด์โหล่ที่ 20 โดยตอบคำถามเฉลี่ยถูก 36 เปอร์เซ็นต์ สถิติแสดงข้อมูลให้ค่อนข้างชัดเจนว่า คนยุโรปตะวันตกรอบรู้วิทยาศาสตร์ดีกว่าคนยุโรปตะวันออก และผู้ชายโดยทั่วไปจะรู้เรื่องเดียวกันนี้ดีกว่าผู้หญิง แต่เมื่อมองในภาพแยก เราก็จะเห็นว่า เพียง 23 เปอร์เซ็นต์ของประชากร รู้ว่ารูโหว่โอโซนในชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลก ไม่เกี่ยวข้องกับปรากฎการณ์เรือนกระจกแต่อย่างใด ตัวเลขแสดงว่า 77 เปอร์เซ็นต์ของประชากร ยังสับสนเมื่อพูดถึงปรากฎการณ์ทั้งสองนี้

สำหรับคำถามข้อที่สองที่เกี่ยวกับวิชาโหราศาสตร์นั้น คนส่วนใหญ่ 56 เปอร์เซ็นต์ ตอบผิดคิดว่าโหราศาสตร์คือรูปแบบหนึ่งของวิทยาศาสตร์ และเป็นที่น่าสังเกตว่า คนในประเทศคอมมิวนิสต์ส่วนใหญ่จะตอบข้อนี้ถูกว่าไม่ใช่ โดย 82 เปอร์เซ็นต์ของคนรัสเซียตอบถูกว่าไม่ใช่ ในขณะที่ 69 เปอร์เซ็นต์ของคนแคนาดาตอบผิดว่าใช่

สถิติการตอบคำถามที่เกี่ยวกับสารเคมีแสดงว่า 36 เปอร์เซ็นต์ของประชากรที่ถูกสำรวจตอบถูกว่าไม่ใช่ และในภาพรวม พลเมืองของประเทศที่ร่ำรวยจะตอบข้อนี้ผิดว่าใช่ ส่วนพลเมืองในประเทศที่ยากจนจะตอบข้อนี้ถูกว่าไม่ใช่ เช่น คนอังกฤษ 57 เปอร์เซ็นต์ ตอบใช่ แต่คนโปแลนด์ 69 เปอร์เซ็นต์ ตอบว่าไม่ใช่

ส่วนคำถามที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์นั้น 70 เปอร์เซ็นต์ตอบถูกว่าใช่ ประเทศอังกฤษซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของ Darwin ผู้เป็นเจ้าของทฤษฎีวิวัฒนาการที่คนอังกฤษ 82 เปอร์เซ็นต์ภูมิใจตอบว่าใช่ แต่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นชาติที่เคร่งศาสนาและเชื่อในพระเจ้า 52 เปอร์เซ็นต์ คิดว่าไม่ใช่

77 เปอร์เซ็นต์ของคนอเมริกันตอบคำถามข้อมลภาวะถูกว่าไม่ใช่ ในขณะที่ 38 เปอร์เซ็นต์ของคนฮังการี ตอบข้อนี้ถูกคนญี่ปุ่นเพียง 40 เปอร์เซ็นต์ ตอบคำถามเกี่ยวกับยาปฏิชีวนะผิด และ 72 เปอร์เซ็นต์ของคนอังกฤษ ตอบข้อนี้ถูกว่าใช่

คำถามข้อที่ 7 เป็นคำถามที่คนตอบหลายคนสับสน โดยเฉพาะคนที่รู้มากได้นึกถึงเหตุการณ์อุกกาบาตชนโลกเมื่อ 65 ล้านปีมาแล้ว แต่แท้ที่จริง คำถามนี้มุ่งถามเหตุการณ์ปัจจุบัน ดังนั้นคำตอบที่ถูกคือใช่ คำถามข้อสุดท้ายเป็นคำถามที่คนถามรู้สึกสบายใจที่สุด เพราะ 73 เปอร์เซ็นต์ของประชากรที่ถูกสำรวจตอบข้อนี้ถูกว่าใช่

ในยุคที่การสำรวจประชามติกำลังได้รับความสนใจจากประชาชนทั่วไปมาก การวิจัยสำรวจที่ได้ดำเนินไปนี้ แสดงให้เราเห็นความแตกต่างด้านความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของคนในชาติต่างๆ สถิติตัวเลขบางตัวอาจจะทำให้เรางุนงงหาคำอธิบายไม่ได้ แต่เมื่อพินิจพิเคราะห์ให้ดีเราก็จะเห็นว่าประเพณี วัฒนธรรม และความเชื่อของคนในแต่ละชาติ มีบทบาทมากในการกำหนดความคิดเห็น หรือความเข้าใจวิทยาศาสตร์ของคนในชาตินั้นครับ

ความรุ้

1. เส้นเลือดในร่างกายมนุษย์มีความยาวรวม 62,000 ไมล์ ถ้านำมันมาเรียงต่อกันเป็นทางยาวจะได้ความยาว ถึง 2.5 เท่าของเส้นรอบวงโลก
2. The Great Barrier Reef (แนวปะการังที่ยาวทีสุดในโลกบริเวณออสเตรเลีย) เป็นโครงสร้างสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีความยาวกว่า 2000 กิโลเมตร
3. โอกาสที่โลกจะถูกโจมตีด้วยอุกาบาตขนาดใหญ่ อยู่ที่ 9300 ปีต่อครั้ง
4. ดาวนิวตรอนขนาดเท่าหัวแม่มือมีน้ำหนักกว่า 100 ล้านตัน
5. พายุเฮอริเคนหนึ่งลูกผลิตพลังงานเท่ากับระเบิดขนาด 1 เมกะตันจำนวน 8000 ลูก
6. คาดว่ามีพยาธิปากขอ ซึ่ึงดูดเลือดเป็นอาหารอยู่ในร่างกายมนุษย์โลกเรา 700 ล้านคน
7. Fred Rompelberg คือผู้ขี่จักรยานด้วยความเร็วที่สุดในโลกด้วยความเร็ว 166.94 ไมล์ต่อชั่วโมง
8. มนุษย์เราสามารถคิดค้นแสงเลเซอร์ที่มีความสว่างกว่าแสงอาทิตย์ 1 ล้านเท่า
9. 65% ของผู้ป่วยออทิสติคส์ เป็นคนถนัดซ้าย
10. Finnish pine tree (ต้นสนชนิดหนึ่งในฟินแลนด์) มีความยาวของรากแต่ละต้นรวมแล้วกว่า 30 ไมล์
11. จำนวนเกลือที่อยู่ในน้ำทะเลทัี่วโลกเรา สามารถปกคลุมพื้นผิวทวีปทั่วโลกได้หนากว่า 500 ฟุต
12. กลุ่มแก๊สระหว่างหมู่ดาวในราศีธนู มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์นับหมื่นล้านล้านลิตร
13. หมีขั้วโลกสามารถวิ่งด้วยความเร็ว 25 ไมล์ต่อชัวโมง และกระโดดได้สูงกว่า 6 ฟุต
14. มนุษย์และปลาโลมาสืบสายพันธ์เดียวกันมาตั้งแต่ 60 - 65 ล้านปีก่อน
15. กล้อง infared จับภาพหมีขั้วโลกได้ยากมาก เนื่องจากคุณสมบัติของขนของมัน
16. เฉลี่ยแล้วในหนึ่งปี คนเราจะกินสัตว์จำพวกเห็บลิ้นไร โดยไม่ได้ตั้งใจไป 430 ตัวต่อคนต่อปี

17. รากของต้น Rye(ข้าวชนิดหนึ่งใช้หมักสุรา) สามารถแผ่ขยายไปได้ถึง 400 ไมล์
18. อุณหภูมิบนพื้นผิวของดาวพุธสูงกว่า 430 องศาเซลเซียสในเวลากลางวัน แต่ลดลงต่ำกว่า ติดลบ 180 องศาเซลเซียสในเวลากลางคืน
19. ภายใน 24 ชั่วโมง ต้นโอ๊กขนาดใหญ่ขับน้ำ(ในรูปของไอน้ำ)ออกมา 10 - 25 แกลลอน
20. ผีเสื้อรับรู้รสด้วยขาหลังของมัน โดยประสาทการรับรู้ทำงานโดยการสัมผัส ทำให้มันรู้ว่าใบไม้และดอกไม้ที่มันสัมผัส มีรสชาติอย่างไรและกินได้หรือไม่

คุณเคยคิดไหมว่าทำไมท้องฟ้าจึงเป้นสีฟ้า

คุณเคยคิดไหมว่าทำไมท้องฟ้าจึงเป้นสีฟ้า

ที่เราเรียกว่าท้องฟ้านั้นคืออากาศที่อยู่เหนือโลก ในอากาศมีฝุ่นละอองอยู่มากมายและฝุ่นละอองเหล่านี้แหละเป็นตัวที่ทำให้ท้องฟ้าเป็นสีฟ้า

ก็คือ แสงแดดที่เราเห็นนั้นที่จริงแล้วไม่ได้มีสีเดียว ในแสงนั้นมีแถบสีอยู่หลายสี ก็คือสีของรุ่งนั้นเอง สีเหล่านี้จะถูกฝุ่นละอองกั้นเอาไว้ ทั้งนี้เนื่องจากขนาดของแถบสีนั่นเอง เมื่อส่องมาถูกฝุ่นละอองจึงเกิดกานสะท้อน ดังนั้นเมื่อเรามองขึ้นไปในอากาศหรือมองท้องฟ้า เราจึงเห็นสีเหล่านั้นเป็นสีฟ้า

ต้องเข้ากรม

ต้องเข้ากรม มาค่อยเตรียมความพร้อมกับสถานการณ์
ผู้ต้องการประชาธิปไตยหรือจะต้องการนักโทษ กลับมา
กินบ้านกินเมืองอีกครั้งกันแน่

ต้องเข้ากรม

เสื้อผ้ายังไม่

สวัสดีวันเสาร์ครับ

เสาร์อาทิตย์นี้ ต้องเข้าร่วมเตรียมพร้อม
รับมือพวกเสื่อแดง ครับอาจารย์

11 มีนาคม 2553

กินผักบุ้งแล้วตาหวานจริงหรือ

กินผักบุ้งแล้วตาหวานจริงหรือ
เชื่อหรือเปล่าว่า "กินผักบุ้งแล้วตาจะหวาน" เหมือนอย่างที่คนสมัยก่อนมักพูดกันทีเล่นทีจริง ถ้าอย่างนั้นเต่าที่กินผักบุ้งก็คงตาหวานกันทุกตัวอย่างนั้นสิ แล้วที่จริงแล้วกินอะไรถึงบำรุงสายตา
นายแพทย์คำนูณ อธิภาส ผู้อำนวยการศูนย์เลสิกกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ หัวเราะร่วนก่อนให้คำตอบว่า จริงๆ แล้ว ตาของคนเราต้องการวิตามินหลายชนิด "ผักบุ้งอย่างเดียวคงไม่พอนะ"

เริ่มตั้งแต่ "วิตามินเอ" ที่มีผลต่อเรตินาหรือจอรับภาพ ผิวกระจกตา ผิวเยื่อบุ ขณะที่ "วิตามินซี" ก็จะเกี่ยวข้องกับน้ำตา ผิวกระจกตา และเส้นใยคอลลาเจนในตาดำ ส่วน "วิตามินบี" จะมีผลต่อความไวของประสาทเกี่ยวกับการส่งสัญญาณไปยังสมอง

"ด้วยความที่เราต้องการวิตามินเยอะมาก ดังนั้น จึงต้องรับประทานพืชผักหลายชนิด อย่าง แครอท หรือผักบุ้งก็จะประกอบด้วยวิตามินหลายอย่าง แต่ผมคงไม่ได้เจาะจงว่าให้กินผักบุ้งอย่างเดียว ควรจะกินอาหารหลายๆ อย่าง ให้ครบหมวดหมู่ตามที่ร่างกายต้องการจะดีกว่า" คุณหมอยิ้มแถมด้วยคำอธิบายเล็กๆ เกี่ยวกับความเชื่อที่ว่า หากสายตาสั้นตอนเด็ก แก่ตัวไปสายตาก็จะยาว ทำให้สายตากลับมาสมดุลปกติ

"อาการสายตายาวแบบผู้สูงอายุ หรือที่เรียกว่า presbyopia คือ 'ดูไกลชัดแต่ดูใกล้ไม่ชัด' มักจะเริ่มเกิดขึ้นในช่วงอายุ 40 ปี หลายคนคิดว่าพอสายตายาวในตอนแก่แล้ว จะทำให้สายตาสั้นที่มีอยู่เดิมก่อนหน้านี้หายไปได้ จริงๆ แล้วไม่ถูกต้อง เพราะสายตาสั้นของเก่าก็จะยังอยู่เหมือนเดิม แต่จะเกิดอาการสายตายาวเกิดซ้อนขึ้นมาด้วย นั่นยิ่งทำให้แย่มากกว่าเดิมเสียอีก จึงควรเข้ารับการรักษา อาจต้องหาแว่นตามาสวม หรือใช้วิธีการรักษาอื่นๆ ก็ว่ากันไป"

แต่ดูเหมือนคนส่วนใหญ่จะเลือกที่จะใช้แว่นตา หรือคอนแทคเลนส์มากกว่าวิธีอื่น อาจด้วยราคาที่ถูก และคิดว่าตาก็ดีๆ อยู่แล้ว ทำไมต้องไปทำอะไรกับมันให้วุ่นวาย ต่างจากมุมมองของจักษุแพทย์ที่เห็นว่าแม้สายตาสั้น-ยาว จะเป็นตาที่มีสุขภาพดีจริง แต่ถือว่ามีความผิดปกติที่น่าจะได้รับการแก้ไข

"คนทั่วไปมองว่าสายตาสั้นนิดยาวหน่อยเป็นเรื่องธรรมชาติ ก็ตาดีๆ อยู่ จะไปทำอะไรกับมันทำไม จริงๆ สายตาสั้น ยาว เอียง เป็นตาที่มีสุขภาพดี แต่ถ้าในวงแพทย์จะถือว่าเป็นความผิดปกติ สมมติเรามีสายตาสั้น 500 ระยะใกล้ที่มองเห็นได้ชัดที่สุดต้อง 20 เซนติเมตร นั่นทำให้สมรรถภาพในการมองเห็นของเราด้อยลงไป"

การเข้ารับการรักษาให้ตามองเห็นได้ชัดเจนในระยะที่สมควรจะเป็น จึงเป็นการแก้ความผิดปกติ บางคนอาจมองว่าเป็นการเสริมความงามให้กับตัวเองเกินไปหรือเปล่า คุณหมอหยุดคิดก่อนจะทิ้งท้ายว่า "ก็เป็นส่วนหนึ่งนะ อย่างปัจจุบันคนอเมริกันทำเลสิคไปแล้ว 4 ล้านคน เหตุผลเหมือนกันเลยคือ..ไม่อยากใส่แว่น" ตรงกันข้ามบางคนอาจคิดว่า ใส่แว่นแล้วดูคงแก่เรียน และน่าเชื่อถือก็มี

พฤหัสอีกแล้ว

สวัสดีเช้าวันพฤหัสที่ ๑๑ ครับอาจารย์พรทิพย์
ไม่ได้่เรียนกับอาจารย์ เลยอดฟัง
เรื่องเลวๆ ของคนหน้าเหลี่ยมที่อยู่ดูไบ
อาจารย์ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนยังหลงชอบเผือก (มัน)อยู่เยอะ

09 มีนาคม 2553

เช้าอังคาร

สวัสดีเช้าวันอังคารที่ ๙ มี.ค.๕๓ ครับ อาจารย์พรทิพย์
อาจารย์สบายดีนะครับ ช่วงเทอม ๒ ไม่ค่อยเห็นอาจารย์สอนเลย
เพราะเมื่อก่อนเคยเห้นกระเป๋าสีชมพู เด่นมาแต่ไกล เวลาอาจารย์จะไปสอน
หรืออาจารย์ไม่สอนเด็กภาคไม่ปรกติแล้วครับ

08 มีนาคม 2553

เปิดเทอมแล้ว

สวัสดีอาจารย์พรทิพย์ ครับ
กระผม จ.อ.อดุลย์กร วรรณโร ครับ รหัส 4924408016
อาจารย์เป็นอาจารย์นิเทศ กระผมครับ

02 มีนาคม 2553

สวัสดีครับอาจารย์พรทิพย์

ขอน้อมรับอาจารย์ที่ปรึกษาฝึกประสบการณ์อาชีพครับ
ขอน้อมเป็นศิษย์ ที่ดี ต่ออาจารย์นิเทศน์ อาจารย์พรทิพย์ ครับ